วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

DIY เจลขิงรักษาแผล

ประโยชน์ที่น่าสนใจอีกอย่างของขิงคือ การรักษาแผล นอกจากแผลทั่วไปแล้ว แผลพุพองจากน้ำร้อนลวก ผื่นแพ้ทั่วไป รวมถึงสิวอักเสบ หรือแมลงกัดต่อยก็ใช้ได้ผลดีค่ะ อีกอย่างเราจะมั่นใจได้ว่าเป็นการรักษาที่มาจากธรรมชาติอย่างแท้จริง ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะแพ้ยาค่ะ

แต่เนื่องจากเป็นยาจากธรรมชาติก็มีข้อเสียอยู่นะคะ คือเวลาทาที่แผลสดอาจจะรู้สึกร้อนหรือแสบ หากใช้กับเด็กอาจทนไม่ไหว แต่จะได้ผลการรักษาที่ชัดเจน

ส่วนผสมของเจลขิงนั้นมีแค่วาสลิน และขิงผงค่ะ ซึ่งเราสามารถหาซื้อขิงผงแบบ 100 % ได้ตามร้านขายสมุนไพร หรือทำเองก็ได้โดยการเอาขิงมาหั่นเป็นแผ่นบางๆ แล้วตากแดดจนแห้งสนิท นำไปคั่วไฟอ่อนๆประมาณ 20 - 25 นาที แล้วนำมาบดหรือตำให้ละเอียด เมื่อได้ขิงผงมาแล้วเราจะมาเริ่มทำเจลขิงกันนะคะ

วัสดุ อุปกรณ์
1. วาสลิน ปิโตรเลียมเจลลี่ 3 ส่วน
2. ขิงผงจากเนื้อขิงบดละเอียด 1 ส่วน
3. กระปุกหรือตลับเล็กๆ
4. กระทะ และหม้อสแตนเลส ที่สามารถวางซ้อนกันได้


วิธีทำ
  1. ใส่น้ำในกระทะและต้มให้เดือด แล้วเบาไฟลง นำหม้อสแตนเลสอีกใบมาวางซ้อน(เรียกว่าวิธี double boil)
  2. ใส่วาสลินลงในหม้อแล้วคนให้ละลายเป็นน้ำใสๆ 


  3. ค่อยๆเติมขิงผงลงไป แล้วคนให้เข้ากัน


  4. ต้มไปเรื่อยๆประมาณ 3 ชม. ระหว่างต้มคอยคนเป็นระยะๆ หากน้ำในกระทะแห้งก็ให้เติมเข้าไปใหม่
  5. ยกลงจากเตาแล้วตักใส่ขวดหรือกระปุกที่เตรียมไว้ 



  6. รอจนเจลขิงเย็นลงจึงปิดฝาให้สนิท

เพียงส่วนผสมแค่ 2 อย่างเท่านั้น ก็สามารถทำเจลขิงไว้ทาแผลได้แล้วค่ะ
เพื่อนๆลองไปทำกันดูนะคะ


วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2559

DIY น้ำหมักชีวภาพแบบง่ายๆ (หลังหมัก 3 เดือน)

หลังจากห่างหายไปกว่า 3 เดือน ลืมไปรึยังคะว่าเราทำน้ำหมักชีวภาพไว้
ตอนนี้น้ำหมักชีวภาพอเนกประสงค์ก็พร้อมใช้งานแล้ว 


เรามาดูการเปลี่ยนแปลงตามลำดับกันค่ะ

เริ่มทำวันแรก
น้ำจะเป็นสีของน้ำตาลทรายแดง สีค่อนข้างเข้ม และใส เปลือกผลไม้ลอยอยู่ด้านบน






ประมาณ 1- 2 สัปดาห์
น้ำเริ่มขุ่น และมีแก๊สเยอะ ช่วงนี้ต้องเปิดฝาทุกวัน พอเปิดจะมีแก๊สออกมา เหมือนตอนเราเปิดขวดน้ำอัดลมค่ะ กลิ่นแก๊สที่ออกมาเหมือนกลิ่นส้มสุกๆ (แบบใกล้เน่า) ไม่ฉุน 

ผ่านไปประมาณอาทิตย์ที่ 2 ก็เริ่มมีกลิ่นแอลกอฮอล์ปนนิดๆ


ประมาณ 1 เดือน ก็ไม่มีแก๊สแล้วค่ะ แต่ถ้าเป็นการหมักเยอะหรือถังใหญ่ๆ อาจจะยังมีแก๊สอยู่ ต้องลองสังเกตดู ถ้าไม่มีแก๊สออกมาแล้วก็ไม่ต้องเปิดฝาแล้วค่ะ วางทิ้งไว้ยาวๆเลย





ผ่านไป 3 เดือน
เราก็จะได้หน้าตาน้ำหมักออกมาเป็นแบบนี้เลยค่ะ เปลือกผลไม้ต่างๆก็จมลงอยู่ก้นขวด น้ำเป็นสีน้ำตาลใส สังเกตุดูรู้สึกว่าสีอ่อนกว่าตอนแรกที่หมัก เมื่อดมกลิ่นดูถือว่าใช้ได้เลย ส่วนตัวคิดว่าหอมอยู่นะคะ แต่ถ้าตอนแรกที่ยังไม่ชินก็จะรู้สึกว่ากลิ่นแปลกๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของผลไม้หรือผักที่ใช้หมัก



ต่อจากนี้ก็กรองเอากากออกได้ หรือจะใช้วิธีเอาสายยางเล็กๆมาดูดแต่น้ำออก เอามาใช้เท่าที่จำเป็น ส่วนที่เหลือก็แช่ไว้เหมือนเดิม เพราะยิ่งหมักไว้นานเท่าไหร่ น้ำหมักก็จะมีคุณภาพที่ดีมากขึ้นค่ะ 

ถ้าเพื่อนๆอยากดูขั้นตอนการทำอีกครั้งก็ไปดูกันได้ที่ DIY น้ำหมักชีวภาพแบบง่ายๆ 
และถ้าอยากรู้ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพก็เข้าไปที่ ประโยชน์น้ำหมัก ได้เลยค่ะ



อย่าลืมไปลองทำ และทดลองใช้กันดูนะคะ เพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อโลก เพื่อตัวเราเอง !!!





วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ขิง เพิ่มภูมิร้อนให้ร่างกาย



ากมองตามหลักของจุดปฐมเหตุ เรื่องพลังงานความร้อนของร่างกาย จริงๆแล้ว "ขิง" ไม่ได้มีสรรพคุณทางยาอะไรเลย แต่เป็นแหล่งเพิ่มภูมิร้อนหรือให้พลังงานความร้อนแก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี เพราะทั้งหาง่าย และมีราคาถูก 

เราจึงใช้ขิงมาต้มน้ำดื่มเพื่อเพิ่มพลังงานจากภายในร่างกาย

วิธีการต้มน้ำขิงเข้มข้นให้ได้ผลดีที่สุดคือ
ขิงสด 500 กรัม (ครึ่งกิโลกรัม)  ต่อน้ำ 1000 ml (1 ลิตร) ต้มให้เดือดแล้วเบาไฟลง ใช้ไฟอ่อนต่อไปอีก 3-4 ชั่วโมง (ปิดฝาหม้อขณะต้ม) จนได้น้ำขิงเข้มข้นที่มีปริมาณเหลือเพียง 1 ใน 3 จากปริมาณในตอนแรก

โดยเราจะดื่มในขณะที่ยังอุ่นๆอยู่ อาจใช้หม้อต้มไฟฟ้าที่อุ่นได้ตลอด หรือต้มเสร็จแล้วเก็บไว้ในกระบอกน้ำเก็บความร้อน ดื่มได้ตลอดทั้งวันค่ะ เมื่อดื่มแล้วจะรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่น มีแรงมาจากภายในร่างกาย

การดื่มในช่วงแรกๆ อาจยังไม่ชินเพราะน้ำขิงเข้มข้นจะมีรสค่อนข้างเผ็ดร้อน จึงอาจเติมน้ำร้อนให้เจือจางลง หรือเติมน้ำตาลทรายแดงเพิ่มความหวานได้นิดหน่อย แต่เมื่อดื่มไปเรื่อยๆจะรู้สึกชินและดื่มได้ง่ายขึ้น หรือถ้าร่างกายยังรู้สึกดีอยู่ ก็ไม่ต้องต้มแบบเข้มข้นก็ได้ โดยอาจลดปริมาณขิงลง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของผู้ป่วยหรือของบุคคลนั้นๆเองค่ะ 

นอกจากน้ำขิงแล้วยังมีขิงแห้ง, ขิงผง, เจลขิง, ขิงเม็ด และอื่นๆที่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้อีกมากมาย

ประโยชน์อื่นๆของขิง เช่น
ล้างแผล โดยใช้น้ำขิงอุ่นๆ
รักษาแผลหรือผื่นแพ้ โดยใช้ขิงผง หรือเจลขิงทาบริเวณแผล หรือที่เกิดอาการ
แช่น้ำอาบ ใช้ขิงผง หรือขิงแห้งผสมในน้ำที่แช่อาบ
ปรุงอาหาร  ขิงสดหรือขิงแห้งนำไปปรุงอาหารเพิ่มรสชาติพร้อมได้ประโยชน์อีกมากมาย

สุดท้ายขอแนะนำเพื่อนๆนะคะ ว่าน้ำขิงที่ดีควรเป็นขิงที่เราต้มเอง ไม่ควรใช้น้ำขิงสำเร็จรูปที่เอาไว้ชงดื่มค่ะ เพราะเราจะมั่นใจได้ว่าเป็นน้ำขิงจากธรรมชาติจริงๆ ยิ่งเป็นขิงที่ปลูกแบบอินทรีย์ ไม่ได้ฉีดยาหรือบำรุงด้วยสารเคมีแล้วจะยิ่งดีมากๆเลยค่ะ


ขอบคุณภาพจาก www.pixabay.com

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ประโยชน์ของนำ้หมักชีวภาพ กับทฤษฎีจุดปฐมเหตุ

จากทฤษฎีจุดปฐมเหตุของหมอจาง จ้าว ฮั่น ที่มีแนวคิดว่าปัจจัย(การบาดเจ็บและผลกระทบจากภายนอก) รวมกับเหตุ (การที่ร่างกายขาดพลังงานความร้อนหรือกายป่วย) จะเกิดเป็นผล(อาการหรือระดับต่างๆทางการแพทย์)

ถ้าเรามองถึงปัจจัยด้านผลกระทบจากภายนอก นั่นก็คือสภาพแวดล้อมรอบๆตัวเรา ทั้งอากาศ แสงแดด มลภาวะ สารเคมีตกค้างในข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ถ้าสิ่งเหล่านี้อยู่ในภาวะที่ดี ก็จะลดความเสี่ยงด้านปัจจัยลง และเกิดอาการหรือโรคต่างๆน้อยลง ทุกอย่างจึงสอดคล้องกันหมด

ดังนั้น เราจึงนำประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพที่ช่วยบำบัดสภาพแวดล้อม มาใช้ร่วมกับการศึกษาทฤษฎีจุดปฐมเหตุไปพร้อมๆกันค่ะ

ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพที่ช่วยบำบัดสภาพแวดล้อมรอบๆตัวเรา ได้แก่

1. ใช้ทำความสะอาดที่อยู่อาศัย 

โดยผสมนำ้หมักชีวภาพเจือจางในนำ้และฉีดพ่น จะสามารถขจัดกลิ่น เชื้อรา มลภาวะจากความสกปรกและคราบนำ้มันต่างๆได้

นอกจากนี้น้ำหมักชีวภาพยังใช้ทำความสะอาดพื้นห้อง ตู้เย็น ห้องนำ้ เครื่องดูดนำ้มันและควันในห้องครัว ฝาผนังที่เปื้อนนำ้มัน และยังมีผลทำให้แมลงวัน หนู และแมลงสาบลดลง




2. ลดสารเคมีตกค้างในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ

เพราะในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกหนีผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนทำมาจากสารสังเคราะห์ และสารเคมี ซึ่งหากสะสมอยู่ในร่างกายก็อาจเป็นโทษได้

โดยนำ้หมักชีวภาพสามารถช่วยสลายและกำจัดสารเคมีที่ให้โทษต่อร่างกายได้ เพียงเติมนำ้หมักชีวภาพ ที่เจือจางแล้วในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เช่นสบู่อาบนำ้ ยาสระผม น้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจาน เป็นต้น



3. ทำความสะอาดสัตว์เลี้ยง

โดยใช้น้ำหมักชีวภาพในการฉีดพ่นเพื่อกำจัดกลิ่นของสัตว์เลี้ยง ลดพยาธิในสัตว์ให้น้อยลง จะช่วยส่งเสริมสุขภาพให้สัตว์เลี้ยงแข็งแรงขึ้น





4. ช่วยกำจัดสิ่งตกค้างจากยาปราบศัตรูพืช และสารเคมีของผัก ผลไม้

ปัจจุบันผักผลไม้ส่วนมาก มียาปราบศัตรูพืชและส่วนประกอบของสารเคมีตกค้าง หากรับประทานพืชผักผลไม้ที่มียาปราบศัตรูพืชมากเกินไปเป็นเวลานานๆแล้ว อาจเป็นปัจจัยที่มารวมกับ ร่างกายขาดพลังงานความร้อน และเกิดเป็นอาการของโรคต่างๆได้ที่ร้ายแรงได้

วิธีการใช้คือแช่ผักผลไม้ในนำ้หมักชีวภาพที่เจือจาง เป็นเวลาประมาณ 15 – 30 นาที จะช่วยกำจัดยาปราบศัตรูพืช สารเคมี โลหะหนัก เชื้อโรคและพยาธิที่ตกค้างบนผักและผลไม้ได้




น้ำหมักชีวภาพนับเป็นน้ำวิเศษ ที่นอกจากจะมีประโยชน์มากมายมหาศาลแล้ว ยังมีวิธีทำที่แสนง่ายดาย เพื่อนๆสามารถศึกษาวิธีได้จาก การทำน้ำหมักชีวภาพแบบง่ายๆ

โดยสามารถเข้าไปศึกษาสัดส่วน และวิธีการใช้งานจาก อัตราส่วนการใช้งานน้ำหมักชีวภาพ 

เมื่อเพื่อนๆทราบถึงทฤษฎีจุดปฐมเหตุ และทราบประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพแล้ว เชื่อแน่ว่าหากใช้ทั้งสองอย่างนี้ควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน ทั้งตัวเรา สังคมเรา และโลกของเราคงน่าอยู่ และมีความสุขขึ้นไม่น้อยเลยค่ะ

ขอบคุณภาพจาก
https://pixabay.com, http://www.iorma.com, http://www.petsincumbria.co.uk, https://elitehotelier.net

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

หลักของพลังงานร้อน และฤทธิ์เย็นทำร้ายร่างกาย

มีคำถามจะถามเพื่อนๆว่า ตอนมีชีวิตอยู่ร่างกายเราอุ่นหรือเย็น แล้วตอนตายล่ะร่างกายจะอุ่นหรือเย็น?

เป็นคำถามที่ทุกคนน่าจะตอบได้ ดังนั้นถ้าเรารู้ว่าคนที่ตายไปแล้วมีร่างกายที่เย็น ก็แปลว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้ก็ต่อเมื่อเรามีพลังงานความร้อนภายในร่างกาย เป็นพลังงานที่ทำให้เรามีชีวิต

อาหารก็มีทั้งอาหารฤทธิ์ร้อน ฤทธิ์เย็น เมื่อเรากินอาหารเหล่านี้เข้าไปก็จะไปส่งผลต่อพลังงานในร่างกายเช่นกัน ดังนั้นถ้าร่างกายเราค่อนข้างเย็น เราก็ไม่ควรทานอาหารที่มีฤทธิ์เย็นอีก เพราะถ้ามีปัจจัยด้านอาหารเข้ามารวมกับเหตุ จะทำให้เกิดอาการที่รุนแรงได้

ส่วนอาหารฤทธิ์ร้อนหรือเย็นนั้น ตามหลักของจุดปฐมเหตุ สามารถแยกตามรสชาติได้  คือ
หวานเปรี้ยว  คือ ฤทธิ์เย็นจัด (เช่น แตงโม ส้ม น้ำเต้า เห็ดเข็มทอง)
หวานชุ่มคอ เค็ม  คือ ฤทธิ์เย็น (เช่น กาแฟ พุทรา ข้าวเจ้า )
เผ็ดซ่า  คือ ฤทธิ์อุ่น (เช่น ต้นหอม กระเทียม ขิงสด )
เผ็ด  คือ ร้อน (เช่น พริกไทย ขิงแห้ง ยี่หร่า พริก วาซาบิ)
ส่วนขม ยังไม่แน่นอน
* เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาปฏิชีวนะ เป็น ฤทธิ์เย็นจัด

มีตารางอาหารฤทธิ์ร้อน-เย็น มาให้เพื่อนๆลองดูกัน แต่จะเป็นเฉพาะอาหารมังสวิรัติค่ะ



ตามหลักของจุดปฐมเหตุ จะใช้ " ขิง " (ต้มเป็นน้ำขิงดื่มอุ่นๆ) เพื่อเพิ่มพลังความร้อนให้ร่างกาย จริงๆแล้วโสมก็ใช้ได้ค่ะ แต่โสมมีราคาแพงมาก เราจึงใช้ขิงที่มีราคาถูกเป็นอาหารที่ช่วยเพิ่มพลังความร้อนแก่ร่างกายเป็นหลักค่ะ ดูรายละเอียด การใช้ขิงเพิ่มภูมิร้อนให้ร่างกาย






สรุป จริงๆแล้วร่างกายเราเป็นเย็น แต่พลังงานความร้อนทำให้เรามีชีวิตอยู่ และมีแรงมีกำลัง ดังนั้นถ้าเรามีพลังงานความร้อนลดลงก็จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ เราจึงต้องพยายามเพิ่มพลังงานความร้อนให้ร่างกายด้วยการ กินอาหารที่มีฤทธิ์อุ่น-ร้อน, ออกกำลังกาย, ประคบอุ่น (เมื่อร่างกายอ่อนแอหรือขาดพลังงาน) และพยายามทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ

นอกเหนือจากการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงแล้ว เพื่อนๆอย่าลืมทำจิตใจให้แจ่มใส ร่าเริงด้วยนะคะ

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ทฤษฎีปัจจัย เหตุ และผลของจุดปฐมเหตุ



การแพทย์ปฐมเหตุเชื่อว่าอาการต่างๆของโรคทั้งหลาย มีสาเหตุมาปัจจัย(การบาดเจ็บและผลกระทบจากภายนอก) รวมกับเหตุ(การที่ร่างกายขาดพลังงานความร้อนหรือกายป่วย) จนเกิดเป็นผล(อาการหรือระดับต่างๆทางการแพทย์) ซึ่งเหตุเพียงเหตุเดียวเกิดได้หลายอาการ

ดังนั้นการแพทย์ปฐมเหตุจึงมุ่งไปรักษาที่เหตุของอาการ ซึ่งต่างจากการแพทย์แผนปัจจุบันที่คิดว่าอาการต่างๆหรือผลของโรคเป็นต้นเหตุ และไปรักษาอาการตามผลที่เกิดขึ้น ปล่อยให้สาเหตุที่แท้จริงยังคงอยู่


สรุป เมื่อเทียบกันดูจะพบว่า การแพทย์ปฐมเหตุ รักษาแค่ที่ต้นเหตุอย่างเดียวก็ช่วยรักษาอาการหลายอาการจากต้นเหตุนี้ได้หมด 

แต่แพทย์แผนปัจจุบันรักษาที่ผล ที่อาการทีละอย่าง ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุจริงๆ ดังนั้นต้นเหตุก็จะยังอยู่ จึงต้องรักษาที่ผลไปเรื่อยๆ


บทความตอนนี้อาจดูเป็นวิชาการและเข้าใจยากสักหน่อยนะคะ แต่เชื่อว่าหากเพื่อนๆค่อยๆอ่านและทำความเข้าใจ ก็จะเกิดผลดีต่อตัวเพื่อนๆเองไม่น้อยเลยค่ะ 


ภาพแสดงจุดกดนวดปฐมเหตุ

ตอนนี้เรามาลองฟังแนวคิดของทฤษฎี Origin Point Therapy ในภาษาจีนจะเรียกว่า เอวี๋ยนสือเตี่ยน หรือในชื่อภาษาไทยคือ จุดปฐมเหตุ ทั้งหมดคือสิ่งเดียวกัน โดยในที่นี้เพื่อให้ง่ายเราจะเรียกตามภาษาไทย คือจุดปฐมเหตุ



และเพื่อให้คนไทยที่สนใจได้ศึกษาจึงมีผู้แปลจุดกดนวดต่างๆ ออกมาเป็นภาษาไทย 

จากภาพ 
โดยกดนวดตามเส้นสีแดง (ดูClipวิธีกดนวดได้จาก https://www.youtube.com/playlist?list=PL60yuIOv4XkK2ovzbkqeENYB6bWZiQU5U

เรามาดูรายละเอียดของตำแหน่ง และการบรรเทาอาการตามตำแหน่งต่างๆ โดยเริ่มจากสีฟ้าที่เป็นส่วนตามแนวกระดูกสันหลัง
เลข 1 (สีฟ้า) จุดปฐมเหตุส่วนคอ
กดนวดตามตำแหน่งใต้ขอบกระดูกท้ายทอย และจุดข้างกระดูก ต้นคอทั้งสองข้าง ควรประคบอุ่น
ช่วยบรรเทาอาการ ปวดต้นคอ เจ็บคอ ปวดบ่าไหล่ ปวดบริเวณไหปลาร้า

เลข 2 (สีฟ้า) จุดปฐมเหตุหลังส่วนบน
กดนวดตามตำแหน่ง ข้างกระดูกสันหลังส่วนบนทั้งสองข้าง ควรประคบอุ่น
ช่วยบรรเทาอาการ ปวดคอ ปวดหลัง(ปวดสะบัก ปวดกลางหลัง ปวดกระดูกสันหลังส่วนบน) แน่นหน้าอก ปวดหลังบ่า ปวดน่อง และน่องเป็นตะคริว 
อาการเจ็บป่วยที่แผ่นหลังส่วนบน เช่น หอบหืด ไอ กล้ามเนื้อหัวใจตีบและอุดตัน เจ็บหัวใจ ใจสั่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะ เจ็บกระเพาะ

เลข 3 (สีฟ้า) จุดปฐมเหตุหลังส่วนล่าง
กดนวดตามตำแหน่ง ข้างกระดูกสันหลัง ของหลังส่วนล่างทั้งสองข้าง ควรประคบอุ่น
ช่วยบรรเทาอาการ ปวดสีข้าง ปวดเอว (ปวดกระดูกสันหลังส่วนเอว ปวดข้างเอว ปวดกลางเอว) ปวดกระดูกเชิงกรานส่วนบน ปวดกระเบนเหน็บ

เลข 4 (สีฟ้า) จุดปฐมเหตุส่วนกระเบนเหน็บ
กดนวดตามตำแหน่ง ข้างกระเบนเหน็บทั้งสองข้าง ควรประคบอุ่น
ช่วยบรรเทาอาการ เจ็บสะโพกส่วนล่าง (รวมทั้งส่วนที่เป็นกระดูกอยู่ตรงกลาง) ปวดท้องน้อย เจ็บกระดูกหัวเหน่า

และสีดำเป็นจุดปฐมเหตุอื่นๆและจุดพิเศษ

เลข 1 (สีดำ) จุดปฐมเหตุของส่วนศีรษะ 
กดนวดตามตำแหน่งใต้ใบหู ใต้ขอบกระดูกท้ายทอย ควรประคบอุ่น
ช่วยบรรเทาอาการ ปวดศีรษะทั้งหมด เปลือกตากระตุก ปวดลูกตา โรคตาแห้ง อาการปากเบี้ยว ตาเข พูดไม่ชัด ลิ้นชา ปวดแสบปวดร้อน ใบหน้าชา ปวดฟัน หูหนวก หูแว่ว มือเท้าชักกระตุกหรืออ่อนแรง 
อาการของโรคบนศีรษะ เช่น โรคเส้นเลือดในสมอง สมองกระเทือน โรคลมชัก โรคซึมเศร้า โรคหวัด เป็นไข้ นอนไม่หลับ โรคสมองเสื่อม โรคภูมิแพ้ เป็นสิว มะเร็งสมอง มะเร็งช่องปาก มะเร็งโพรงจมูก มะเร็งโคนลิ้น เป็นต้น

เลข 2 (สีดำ) จุดปฐมเหตุส่วนไหล่
กดนวดตามตำแหน่งกระดูกสะบัก ควรประคบอุ่น
ช่วยบรรเทาอาการ ปวดบ่า (ส่วนบนและส่วนหน้า) ปวดต้นแขน รักแร้ ราวนม

เลข 8 (สีดำ) จุดปฐมเหตุพิเศษของกระดูกสะบัก
กดนวดตามตำแหน่งข้างกระดูกสะบัก จุดพิเศษนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาของจุดปฐมเหตุหลังส่วนบน มีผลต่อการรักษามะเร็งเต้านม มะเร็งปอด ไอ แน่นหน้าอก

เลข 3 (สีดำ) จุดปฐมเหตุข้อศอก
กดนวดตามแนวหลังข้อศอก ควรประคบอุ่น
ช่วยบรรเทาอาการ เจ็บข้อศอก เจ็บแขนส่วนล่าง เจ็บข้อมือ เจ็บหลังมือ

เลข 4 (สีดำ) จุดปฐมเหตุหลังมือ
กดนวดข้างกระดูกหัวแม่มือ ควรประคบร้อน
ช่วยบรรเทาอาการ เจ็บหัวแม่มือ

กดนวดระหว่างกระดูกหลังมือ ตามแนวระหว่างนิ้วมือ ควรประคบอุ่น
ช่วยบรรเทาอาการ เจ็บกลางฝ่ามือ เจ็บนิ้วมือ นิ้วมือชา

โดยรวมช่วยบรรเทาอาการต่างๆของบริเวณมือ เช่น มีตุ่มใส มือมีเหงื่อออกมามาก นิ้วบวม กลากเกลื้อน ข้อมืออักเสบ

เลข 5 (สีดำ) จุดปฐมเหตุของส่วนสะโพก
กดนวดจุดข้างสะโพกที่เกิดอาการ ควรประคบอุ่น
ช่วยบรรเทาการ เจ็บขาทั้งหมด (ต้นขา เข่า ข้อพับ งอเข่าไม่ได้ หน้าแข้งทั้งด้านหนน้าและด้านข้าง เอ็นร้อยหวาย ตาตุ่ม)

หมายเหตุ ปวดน่อง น่องเป็นตะคริว ให้ใช้จุดหลังส่วนบน

เลข 6 (สีดำ) จุดปฐมเหตุของข้อเท้า
กดนวดจุดส่วนหน้า ล่างและส่วนหลังตาตุ่มด้านในและส่วนที่อยู่เหนือขึ้นไป ควรประคบร้อน
ช่วยบรรเทาอาการ เจ็บตาตุ่ม เจ็บฝ่าเท้าส่วนกลาง และส้นเท้า

เลข 7 (สีดำ) จุดปฐมเหตุหลังเท้า
กดนวดจุดระหว่างร้องกระดูกเท้า
ช่วยบรรเทาอาการ เจ็บนิ้วเท้า เจ็บฝ่าเท้าส่วนหน้า อาการต่างๆของโรคที่อยู่บริเวณตาตุ่มและหลังเท้า เช่นตุ่มใส เท้าเหงื่อออกมาก เท้าแตก กลากเกลื้อน โรคเกาต์ ฮ่องกงฟุต เป็นต้น

เลข 9 (สีดำ) จุดปฐมเหตุพิเศษของเข่า
กดนวดจุดเหนือหัวเข่าทั้งสองด้าน
ช่วยบรรเทาอาการ เจ็บหัวเข่า เจ็บลูกสะบ้า

หมายเหตุ อาการของบางโรคที่อยู่ส่วนเอว กระเบนเหน็บ และสะโพก เช่นท้องอืด ท้องเสีย มะเร็งตับ โรคไต มะเร็งตับอ่อน ท้องน้อยปวดบวม ท้องผูก ริดสีดวง  ปัสสาวะถี่ ปัสสาวะน้อย ปัสสาวะเจ็บแสบ ประจำเดือนผิดปกติ ปวดประจำเดือน เนื้องอกมดลูก ตกขาว ช่องคลอดอักเสบ มะเร็งต่อมลูกหมาก ผื่นคันตามหน้าท้องและขา มะเร็งรังไข่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น 
โดยบางอาการจะต้องกดนวดมากกว่า 1 ตำแหน่ง คือกดนวดทั้งจุดปฐมเหตุหลังส่วนล่าง จุดสะโพก และจุดกระเบนเหน็บ ขึ้นอยู่กับบริเวณที่มีอาการ


แผนภาพแสดงจุดกดนวดทั้งร่างกาย ดูแล้วไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ น้ำหนักและวิธีการกดนวดเพื่อนๆต้องศึกษาจากคลิปวีดีโอสอนกดนวดให้เข้าใจก่อนจาก https://www.youtube.com/playlist?list=PL60yuIOv4XkK2ovzbkqeENYB6bWZiQU5U ดูหลายๆรอบแล้วค่อยๆทำความเข้าใจ เพียงเท่านี้เราก็จะใช้วิธีกดนวดจุดปฐมเหตุนี้รักษาอาการเจ็บป่วยอย่างได้ผลแล้วค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Origin Point Therapy การกดนวดจุดปฐมเหตุ

Origin Point Therapy เป็นการกดนวดเพื่อบำบัดอาการเจ็บป่วยวิธีหนึ่งที่ถูกคิดค้นโดยหมอจีนท่านหนึ่ง คือ หมอจาง จ้าว ฮั่น เป็นชาวไต้หวัน



หมอจางเป็นหมอแผนจีน มีภรรยาและลูก 3 คน ต่อมาภรรยาป่วยเป็นมะเร็งเต้านม แต่ด้วยความเชื่อว่าการแพทย์แผนปัจจุบันเป็นการแพทย์ที่ดีที่สุดและจะสามารถรักษาภรรยาให้หายได้ จึงให้ภรรยาเข้ารับการรักษาและผ่าตัดที่โรงพยาบาล 

แต่เมื่อผ่าตัดแล้ว มะเร็งได้ลามไปทั่วร่างกาย ตามกระดูกสันหลัง อาการหนักจนถึงขั้นสุดท้าย หมอที่โรงพยาบาลก็บอกว่าหมดทางรักษาแล้ว และจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี 

ความหวังของหมอจางก็หมดลง เขาจึงคิดตัดสินใจศึกษาหาทางรักษาขึ้นมาใหม่เอง 

หมอจางรวบรวมตำราและหนังสือทางการแพทย์มากมาย เมื่อคุยกับภรรยาแล้วก็ตัดสินใจพาภรรยาไปรักษาตัวบนภูเขา เพราะคิดว่าที่นั่นอากาศดี ส่วนลูกๆก็ต้องฝากคนอื่นเลี้ยง

หมอจางหาทุกวิถีทางมารักษาภรรยาของตน หายาที่ดีที่สุดจากหมอที่มีชื่อเสียงมารักษา หรือใช้วิธีฟังเข็ม แต่ก็ยังช่วยไม่ได้ ตลอดเวลาที่รักษาอยู่บนเขา 10 เดือน ภรรยาก็ไม่ได้มีอาการดีขึ้นเลยแต่กลับอ่อนแอลง ทั้งคู่จึงตัดสินใจลงมาอยู่กับลูกๆ

หลังจากนั้นอาการก็ยังทรุดลงเรื่อยๆ จนวันหนึ่งต้องเข้าโรงพยาบาลให้ออกซิเจน และมีหมอท่านหนึ่งคือคุณหมอหวง แนะนำให้กินยาจีน และกินโสม ปรากฎว่าอาการดีขึ้น และหมอจางก็จ้างคนมานวดให้ภรรยาถึง 4 คนสลับกันนวดตลอดเวลา

จนวันหนึ่งภรรยาปวดที่ขาและหมอจางกดนวดอยู่ที่สะโพก แต่ปรากฎว่าอาการปวดที่ขากลับดีขึ้น จึงแปลกใจและคิดว่า ทำไมปวดขาแล้วกดนวดที่สะโพกจึงหาย ดังนั้นแล้วถ้าปวดที่อื่นก็ต้องมีจุดกดนวดในร่างกายที่ทำให้หายได้เหมือนกัน

นั่นจึงเป็นการเริ่มต้นการค้นหาจุดปฐมเหตุของความเจ็บป่วย 

เพื่อนๆสามารถฟังรายละเอียดได้จากลิงก์ของ youtube ตามนี้เลยค่ะ https://www.youtube.com/watch?v=V6ZIUIL1xTs 

ซึ่งใน youtube นี้ยังสอนวิธีกดนวดแบบเป็นภาษาไทยด้วยค่ะ แต่ถ้าจะให้เข้าใจอาจจะต้องดูหลายรอบนะคะ จริงๆมีการทำวีดีโอของปีที่ล่าสุดกว่านี้ แต่เป็นภาษาจีนค่ะ ยังไม่มีคนแปลให้ 


แต่เพื่อนๆคนไหนฟังภาษาจีนได้ก็เข้าไปดูได้ที่
https://www.youtube.com/watch?v=un7h_xAJf_8&list=PLJHjqBr0uHsqDaCpD2N-ZPeHOkMAelNW5  
จะเข้าใจได้ง่ายกว่าของปีก่อนๆค่ะ

หมอจางใช้เวลาอยู่หลายปี ทดลองหาจุดกดนวดจากผู้ป่วยมะเร็งมากมาย จนสรุปออกมาเป็นทฤษฎีได้



หลังจากนั้น ได้ตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือคนมากมายโดยไม่คิดเงิน และยังเผยแพร่ทฤษฎีและวิธีการกดนวดจุดปฐมเหตุนี้ ให้คนที่สนใจได้ศึกษาและนำไปใช้ได้อย่างได้ผล

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เอวี๋ยนสือเตี่ยน กดนวดเพื่อการบำบัดอาการ

มีวิธีการบำบัดโรครูปแบบหนึ่งมาแนะนำค่ะ นั่นคือการนวดกดจุด (จุดปฐมเหตุของโรค)

วิธีการนวดนี้พิเศษกว่าทั่วๆไป ไม่ใช่การนวดผ่อนคลายให้สบายตัวหรือให้เลือดลมไหลเวียนดีอย่างที่เรารู้จักคุนเคยกัน แต่เป็นการนวดเพื่อบำบัดอาการเจ็บป่วย 

ทฤษฎีการนวดนี้ถูกคิดค้นโดยหมอจีนท่านหนึ่งคือหมอ จาง จ้าว ฮั่น เป็นชาวไต้หวัน (ประวัติ ที่มาของการกดนวดนี้จะเล่าให้ฟังภายหลังนะคะ) 

หลักการและทฤษฎีนี้น่าสนใจมากค่ะ จากที่ฟังเพื่อนชาวไต้หวันเล่าให้ฟังและเข้าไปศึกษาอยู่พักหนึ่ง ก็พอจะเล่าให้ฟังได้ว่า หลักการนี้จะเน้นที่การกดนวดเพื่อกระตุ้นให้ตัวเรารักษาตัวเราเองค่ะ คือไม่ต้องกินยา ไม่ต้องตรวจโรค เพราะยาก็คือสารสารเคมีที่ถูกสกัด หรือสังเคราะห์ขึ้นมา ทานเข้าไปก็เป็นโทษต่อร่างกาย มีการสะสมและตกค้างอยู่ในตัวเรานี่แหละค่ะ

อย่างเช่นยาแก้ปวด ก็เป็นเพียงยาที่เอามารักษาความเจ็บปวดที่ปลายเหตุ กินไปเรื่อยๆก็สะสมอยู่ในร่างกายและยังเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ คือแค่ทำให้เราไม่รู้สึกปวด แต่ต้นเหตุของโรคจริงๆก็ยังอยู่

หรือเแม้แต่เนื้องอก ที่เราไปให้หมอผ่าตัดออก แต่ถ้าลองนึกดูแล้วการตัดเนื้องอกออกก็เหมือนรักษาที่ปลายเหตุเหมือนกัน เพราะเนื้องอกก็เกิดจากความผิดปกติของร่างกาย อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายผิดปกติ แต่เมื่อเราไปผ่าตัด ก็เท่ากับว่าตัดสัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึงต้นเหตุออกค่ะ

แล้วการนวดนี้จะรักษาโรคได้อย่างไร ? 

จริงๆแล้วการกดนวดนี้ไม่ได้รักษาโรคโดยตรงค่ะ เป็นแค่ไปกดนวดเพื่อกระตุ้นให้ระบบร่างกายเรารักษาความผิดปกติด้วยตัวเองค่ะ แต่ร่างกายเราที่อ่อนแอมากๆก็จะไม่มีแรงไปรักษาได้เอง จึงต้องอาศัยความร้อนที่เป็นเหมือนพลังงานภายนอกเข้าไปช่วยเพิ่มแรงค่ะ 

และวิธีการเพิ่มแรงหรือเพิ่มพลังงานก็คือการประคบอุ่น ให้ร่างกายได้รับความร้อนค่ะ ส่วนอีกอย่างที่สำคัญคือการดื่มน้ำขิงที่มีฤทธิ์อุ่นเข้าไปช่วยกันเสริมแรง เพียงเท่านี้ร่างกายเราก็จะมีแรงไปซ่อมแซมส่วนที่ผิดปกติได้เองแล้ว 

แต่เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีแรงไปซ่อมแซมสิ่งผิดปกติได้ดีคือการออกกำลังกายและการทำให้ร่างกายอบอุ่น ไม่ทานของที่มีฤทธิ์เย็นมากเกินไปค่ะ

สรุปวิธีนะคะ กดนวดร่างกาย + ประคบอุ่นเพิ่มพลังความร้อนภายนอก + ดื่มน้ำขิงเพื่อเพิ่มพลังภายใน

วิธีง่ายๆและได้ผลชัดเจนเช่นนี้ น่าสนใจมากเลยนะคะ เดี๋ยวเรามาศึกษาวิธีการในตอนต่อๆไปกันค่ะ

ส่วนเพื่อนๆที่สนใจจะศึกษาข้อมูล สามารถใช้ google search โดยพิมพ์ origin point therapy ได้ค่ะ
มีเว็บไซต์และข้อมูลภาษาอังกฤษอยู่ค่ะ

ส่วนเพื่อนๆที่อ่านภาษาจีนได้ สามารถเข้าเว็บไซต์มูลนิธิของหมอจาง จ้าว ฮั่นที่ไต้หวันคือ http://www.cch-foundation.org
ซึ่งข้อมูลของทางมูลนิธิจะถูกต้องที่สุดค่ะ


ส่วนภาษาไทยมีกลุ่ม facebook อยู่ เชิญเข้าร่วมได้ตามลิงก์นี้ค่ะ
https://www.facebook.com/groups/958353000953091/



วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2559

อาหารมังสวิรัติ มีดีกว่าที่คุณคิด

การทานอาหารมังสวิรัติ หรือการหยุดบริโภคเนื้อสัตว์ บางคนทานเพื่อสุขภาพ บางคนทานเพื่อลดน้ำหนัก หรือบางคนทานเพื่องดการทำบาปเพราะไม่เป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่เราควรทานมังสวิรัติ นั่นคือ...ทานเพื่อช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม


ส่วนสารอาหารที่หลายคนคิดว่าจะไม่เพียงพอต่อความต้องการร่างกาย ก็ไม่ต้องกังวลไปเพราะเพียงแค่เราทานอาหารให้หลากหลายชนิดหมุนเวียนกัน ก็จะได้สารอาหารที่ครบถ้วนและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย


อีกทั้งเรายังได้เห็นว่าบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือดาราหลายท่านก็ยังทานมังสวิรัติ เช่น อดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน (Bill clinton) , อดีตนักมวย ไมค์ ไทสัน (Mike tyson) , นักแสดง เจ็ท ลี (Jet Li) หรือแม้กระทั่ง ไอแซ็ค นิวตัน (Sir Isaac Newton) “บิดาแห่งวิชาฟิสิกส์” 

และถ้าเพื่อนๆไม่รู้จะเริ่มต้นงดเนื้อสัตว์ยังไง ก็ขอแนะนำให้เราปรับเปลี่ยนทัศนะคติของตัวเราเองให้ได้ก่อนว่าการงดทานเนื้อสัตว์มีแต่จะส่งผลดีในทุกๆด้าน ต่อมาตั้งเป้าหมายว่าทานเพื่ออะไร หรือเพื่อใคร 

บางคนไม่ชอบกินผัก บางคนไม่ชอบผลไม้ ดังนั้นเราจึงต้องค้นหาเมนูอาหารด้วยตัวเราเอง หลังจากนั้นให้ตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองว่าใน 1 อาทิตย์นั้น เราสะดวกจะทานมังสวิรัติในวันไหน หรืออาจตั้งใจวันละ 1 มื้อก็ได้ 

หรือใช้เทคนิคงดสัตว์บกไปก่อนแต่ยังคงกินสัตว์น้ำ จากนั้นให้งดสัตว์น้ำทีละชนิด จากนั้นงดเนื้อสัตว์ทุกชนิด

การทานมังสวิรัติจะทำให้กระเพาะย่อยเร็วขึ้น อาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว  และเราจะมีระบบขับถ่ายที่ดีขึ้น

ดังนั้น อย่ารอช้าไปเลย เรามาเริ่มทาน มังสวิรัติกันเถอะค่ะ


วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559

มังสวิรัติกับสิ่งแวดล้อม

เมื่อเราเป็นคนใส่ใจสุขภาพและใส่ใจสิ่งแวดล้อมแล้ว เราย่อมสรรหาสิ่งที่ดีให้กับชีวิตเราเอง เช่นเรื่องอาหารการกิน เริ่มจาการสรรหาอาหารเพื่อสุขภาพมารับประทาน โดยการลดสัดส่วนของเนื้อสัตว์ลงทุกชนิด 

ถ้าถามว่าทำไมจึงต้องลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลงก็ต้องบอกว่าไปเจอข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจเข้า คือการบริโภคเนื้อสัตว์ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม แน่นอนว่าบางคนอาจสงสัยว่าเนื้อสัตว์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างไร และผลเสียของการบริโภคเนื้อสัตว์กับร่างกายคืออะไร เราไปดูข้อมูลนี้กันค่ะ


ก่อนอื่นมาดูข้อมูลอัตราการบริโภคเนื้อสัตว์ก่อนค่ะ


สถาบัน Worldwatch ชี้ว่าทั้งปริมาณการผลิตและการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ในประเทศที่กำลังพัฒนาเพิ่มขึ้นมากในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา จำนวนสัตว์ในฟาร์มเช่น หมู แกะ แพะ รวมถึงสัตว์ปีกเพิ่มขึ้นราว 23 % ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านตัวทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงจากสังคมชนบทเป็นสังคมเมือง และการมีรายได้มากขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้การผลิต และการบริโภคเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นในประเทศที่กำลังพัฒนา การบริโภคของกลุ่มชนชั้นกลางใน จีน อินเดีย และบราซิลเพิ่มสูงขึ้น เพราะคนมีรายได้มากขึ้น พวกเขาจะหาซื้ออาหารที่คิดว่ามีคุณภาพ ซื้อนม เนยแข็งและเนื้อสัตว์มากขึ้น ความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ นำไปสู่การเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มขนาดใหญ่ที่เรียกกันว่าโรงงานฟาร์ม 

  • ผลเสียจากการบริโภคเนื้อสัตว์ต่อร่างกาย
มีผลการศึกษาตีพิมพ์ในวารสาร Archives of Internal Medicine ที่สรุปว่าการรับประทานเนื้อสัตว์สี่ขาเช่น เนื้อวัว หมู และแกะสร้างความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเป็นโรคหัวใจ และมะเร็ง รวมถึงสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคนในประเทศที่บริโภคเนื้อสัตว์ จำนวนมากจะมีจำนวนผู้ป่วยเป็นโรคต่างๆมากเช่นกัน โดยเฉพาะโรคหัวใจ และมะเร็ง นอกจากนี้ยังทำให้แก่เร็ว และอายุสั้นกว่ากลุ่มคนที่กินพืชผัก ( http://www.voathai.com, http://www.worldwatch.org )

 
Photograph: Alamy
  • ผลเสียจากอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์
หลายคนอาจยังไม่ทราบถึงปัญหาของการทำปศุสัตว์ที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม หากเปรียบเทียบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของเนื้อวัวกับพืช เช่น มันฝรั่ง ข้าวสาลี หรือข้าว ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการเลี้ยงวัวเข้าขั้นสูงสุด เพราะต้องใช้พื้นที่มากกว่าถึง 160 เท่า และปล่อยก๊าซมีเทนที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกมากถึง 11 เท่า นอกจากนี้ฟาร์มปศุสัตว์อื่นๆก็ปล่อยก๊าซมีเทนเหมือนกันเช่น ฟาร์มแกะ และหมู

เกษตรกรรมนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันสภาวะโลกร้อน โดยคิดเป็นทั้งสิ้นร้อยละ 15 จากการปลดปล่อยก๊าซมีเทนทั้งหมด โดยกว่าครึ่งนั้นมาจากการปศุสัตว์ ยิ่งไปกว่านั้น ปริมาณน้ำและอาหารที่จำเป็นต้องใช้ในการเลี้ยงวัวอย่างมหาศาลสร้างความกังวลให้กับ ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากภายในปี 2050 เราจะมีประชากรเพิ่มขึ้นอีกถึง 2 พันล้านคน ( http://www.theguardian.com


ถ้าทราบดังนี้แล้วขอเชิญชวนเพื่อนๆ ลดปริมาณการบริโภคเนื้อสัตว์กันนะคะ แต่ถ้ากลัวว่าจะไม่ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน เรามีอีกบทความที่ขอเชิญเพื่อนให้ติดตามกันต่อตอนหน้าค่ะ