วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Origin Point Therapy การกดนวดจุดปฐมเหตุ

Origin Point Therapy เป็นการกดนวดเพื่อบำบัดอาการเจ็บป่วยวิธีหนึ่งที่ถูกคิดค้นโดยหมอจีนท่านหนึ่ง คือ หมอจาง จ้าว ฮั่น เป็นชาวไต้หวัน



หมอจางเป็นหมอแผนจีน มีภรรยาและลูก 3 คน ต่อมาภรรยาป่วยเป็นมะเร็งเต้านม แต่ด้วยความเชื่อว่าการแพทย์แผนปัจจุบันเป็นการแพทย์ที่ดีที่สุดและจะสามารถรักษาภรรยาให้หายได้ จึงให้ภรรยาเข้ารับการรักษาและผ่าตัดที่โรงพยาบาล 

แต่เมื่อผ่าตัดแล้ว มะเร็งได้ลามไปทั่วร่างกาย ตามกระดูกสันหลัง อาการหนักจนถึงขั้นสุดท้าย หมอที่โรงพยาบาลก็บอกว่าหมดทางรักษาแล้ว และจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี 

ความหวังของหมอจางก็หมดลง เขาจึงคิดตัดสินใจศึกษาหาทางรักษาขึ้นมาใหม่เอง 

หมอจางรวบรวมตำราและหนังสือทางการแพทย์มากมาย เมื่อคุยกับภรรยาแล้วก็ตัดสินใจพาภรรยาไปรักษาตัวบนภูเขา เพราะคิดว่าที่นั่นอากาศดี ส่วนลูกๆก็ต้องฝากคนอื่นเลี้ยง

หมอจางหาทุกวิถีทางมารักษาภรรยาของตน หายาที่ดีที่สุดจากหมอที่มีชื่อเสียงมารักษา หรือใช้วิธีฟังเข็ม แต่ก็ยังช่วยไม่ได้ ตลอดเวลาที่รักษาอยู่บนเขา 10 เดือน ภรรยาก็ไม่ได้มีอาการดีขึ้นเลยแต่กลับอ่อนแอลง ทั้งคู่จึงตัดสินใจลงมาอยู่กับลูกๆ

หลังจากนั้นอาการก็ยังทรุดลงเรื่อยๆ จนวันหนึ่งต้องเข้าโรงพยาบาลให้ออกซิเจน และมีหมอท่านหนึ่งคือคุณหมอหวง แนะนำให้กินยาจีน และกินโสม ปรากฎว่าอาการดีขึ้น และหมอจางก็จ้างคนมานวดให้ภรรยาถึง 4 คนสลับกันนวดตลอดเวลา

จนวันหนึ่งภรรยาปวดที่ขาและหมอจางกดนวดอยู่ที่สะโพก แต่ปรากฎว่าอาการปวดที่ขากลับดีขึ้น จึงแปลกใจและคิดว่า ทำไมปวดขาแล้วกดนวดที่สะโพกจึงหาย ดังนั้นแล้วถ้าปวดที่อื่นก็ต้องมีจุดกดนวดในร่างกายที่ทำให้หายได้เหมือนกัน

นั่นจึงเป็นการเริ่มต้นการค้นหาจุดปฐมเหตุของความเจ็บป่วย 

เพื่อนๆสามารถฟังรายละเอียดได้จากลิงก์ของ youtube ตามนี้เลยค่ะ https://www.youtube.com/watch?v=V6ZIUIL1xTs 

ซึ่งใน youtube นี้ยังสอนวิธีกดนวดแบบเป็นภาษาไทยด้วยค่ะ แต่ถ้าจะให้เข้าใจอาจจะต้องดูหลายรอบนะคะ จริงๆมีการทำวีดีโอของปีที่ล่าสุดกว่านี้ แต่เป็นภาษาจีนค่ะ ยังไม่มีคนแปลให้ 


แต่เพื่อนๆคนไหนฟังภาษาจีนได้ก็เข้าไปดูได้ที่
https://www.youtube.com/watch?v=un7h_xAJf_8&list=PLJHjqBr0uHsqDaCpD2N-ZPeHOkMAelNW5  
จะเข้าใจได้ง่ายกว่าของปีก่อนๆค่ะ

หมอจางใช้เวลาอยู่หลายปี ทดลองหาจุดกดนวดจากผู้ป่วยมะเร็งมากมาย จนสรุปออกมาเป็นทฤษฎีได้



หลังจากนั้น ได้ตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือคนมากมายโดยไม่คิดเงิน และยังเผยแพร่ทฤษฎีและวิธีการกดนวดจุดปฐมเหตุนี้ ให้คนที่สนใจได้ศึกษาและนำไปใช้ได้อย่างได้ผล

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เอวี๋ยนสือเตี่ยน กดนวดเพื่อการบำบัดอาการ

มีวิธีการบำบัดโรครูปแบบหนึ่งมาแนะนำค่ะ นั่นคือการนวดกดจุด (จุดปฐมเหตุของโรค)

วิธีการนวดนี้พิเศษกว่าทั่วๆไป ไม่ใช่การนวดผ่อนคลายให้สบายตัวหรือให้เลือดลมไหลเวียนดีอย่างที่เรารู้จักคุนเคยกัน แต่เป็นการนวดเพื่อบำบัดอาการเจ็บป่วย 

ทฤษฎีการนวดนี้ถูกคิดค้นโดยหมอจีนท่านหนึ่งคือหมอ จาง จ้าว ฮั่น เป็นชาวไต้หวัน (ประวัติ ที่มาของการกดนวดนี้จะเล่าให้ฟังภายหลังนะคะ) 

หลักการและทฤษฎีนี้น่าสนใจมากค่ะ จากที่ฟังเพื่อนชาวไต้หวันเล่าให้ฟังและเข้าไปศึกษาอยู่พักหนึ่ง ก็พอจะเล่าให้ฟังได้ว่า หลักการนี้จะเน้นที่การกดนวดเพื่อกระตุ้นให้ตัวเรารักษาตัวเราเองค่ะ คือไม่ต้องกินยา ไม่ต้องตรวจโรค เพราะยาก็คือสารสารเคมีที่ถูกสกัด หรือสังเคราะห์ขึ้นมา ทานเข้าไปก็เป็นโทษต่อร่างกาย มีการสะสมและตกค้างอยู่ในตัวเรานี่แหละค่ะ

อย่างเช่นยาแก้ปวด ก็เป็นเพียงยาที่เอามารักษาความเจ็บปวดที่ปลายเหตุ กินไปเรื่อยๆก็สะสมอยู่ในร่างกายและยังเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ คือแค่ทำให้เราไม่รู้สึกปวด แต่ต้นเหตุของโรคจริงๆก็ยังอยู่

หรือเแม้แต่เนื้องอก ที่เราไปให้หมอผ่าตัดออก แต่ถ้าลองนึกดูแล้วการตัดเนื้องอกออกก็เหมือนรักษาที่ปลายเหตุเหมือนกัน เพราะเนื้องอกก็เกิดจากความผิดปกติของร่างกาย อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายผิดปกติ แต่เมื่อเราไปผ่าตัด ก็เท่ากับว่าตัดสัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึงต้นเหตุออกค่ะ

แล้วการนวดนี้จะรักษาโรคได้อย่างไร ? 

จริงๆแล้วการกดนวดนี้ไม่ได้รักษาโรคโดยตรงค่ะ เป็นแค่ไปกดนวดเพื่อกระตุ้นให้ระบบร่างกายเรารักษาความผิดปกติด้วยตัวเองค่ะ แต่ร่างกายเราที่อ่อนแอมากๆก็จะไม่มีแรงไปรักษาได้เอง จึงต้องอาศัยความร้อนที่เป็นเหมือนพลังงานภายนอกเข้าไปช่วยเพิ่มแรงค่ะ 

และวิธีการเพิ่มแรงหรือเพิ่มพลังงานก็คือการประคบอุ่น ให้ร่างกายได้รับความร้อนค่ะ ส่วนอีกอย่างที่สำคัญคือการดื่มน้ำขิงที่มีฤทธิ์อุ่นเข้าไปช่วยกันเสริมแรง เพียงเท่านี้ร่างกายเราก็จะมีแรงไปซ่อมแซมส่วนที่ผิดปกติได้เองแล้ว 

แต่เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีแรงไปซ่อมแซมสิ่งผิดปกติได้ดีคือการออกกำลังกายและการทำให้ร่างกายอบอุ่น ไม่ทานของที่มีฤทธิ์เย็นมากเกินไปค่ะ

สรุปวิธีนะคะ กดนวดร่างกาย + ประคบอุ่นเพิ่มพลังความร้อนภายนอก + ดื่มน้ำขิงเพื่อเพิ่มพลังภายใน

วิธีง่ายๆและได้ผลชัดเจนเช่นนี้ น่าสนใจมากเลยนะคะ เดี๋ยวเรามาศึกษาวิธีการในตอนต่อๆไปกันค่ะ

ส่วนเพื่อนๆที่สนใจจะศึกษาข้อมูล สามารถใช้ google search โดยพิมพ์ origin point therapy ได้ค่ะ
มีเว็บไซต์และข้อมูลภาษาอังกฤษอยู่ค่ะ

ส่วนเพื่อนๆที่อ่านภาษาจีนได้ สามารถเข้าเว็บไซต์มูลนิธิของหมอจาง จ้าว ฮั่นที่ไต้หวันคือ http://www.cch-foundation.org
ซึ่งข้อมูลของทางมูลนิธิจะถูกต้องที่สุดค่ะ


ส่วนภาษาไทยมีกลุ่ม facebook อยู่ เชิญเข้าร่วมได้ตามลิงก์นี้ค่ะ
https://www.facebook.com/groups/958353000953091/



วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2559

อาหารมังสวิรัติ มีดีกว่าที่คุณคิด

การทานอาหารมังสวิรัติ หรือการหยุดบริโภคเนื้อสัตว์ บางคนทานเพื่อสุขภาพ บางคนทานเพื่อลดน้ำหนัก หรือบางคนทานเพื่องดการทำบาปเพราะไม่เป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่เราควรทานมังสวิรัติ นั่นคือ...ทานเพื่อช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม


ส่วนสารอาหารที่หลายคนคิดว่าจะไม่เพียงพอต่อความต้องการร่างกาย ก็ไม่ต้องกังวลไปเพราะเพียงแค่เราทานอาหารให้หลากหลายชนิดหมุนเวียนกัน ก็จะได้สารอาหารที่ครบถ้วนและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย


อีกทั้งเรายังได้เห็นว่าบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือดาราหลายท่านก็ยังทานมังสวิรัติ เช่น อดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน (Bill clinton) , อดีตนักมวย ไมค์ ไทสัน (Mike tyson) , นักแสดง เจ็ท ลี (Jet Li) หรือแม้กระทั่ง ไอแซ็ค นิวตัน (Sir Isaac Newton) “บิดาแห่งวิชาฟิสิกส์” 

และถ้าเพื่อนๆไม่รู้จะเริ่มต้นงดเนื้อสัตว์ยังไง ก็ขอแนะนำให้เราปรับเปลี่ยนทัศนะคติของตัวเราเองให้ได้ก่อนว่าการงดทานเนื้อสัตว์มีแต่จะส่งผลดีในทุกๆด้าน ต่อมาตั้งเป้าหมายว่าทานเพื่ออะไร หรือเพื่อใคร 

บางคนไม่ชอบกินผัก บางคนไม่ชอบผลไม้ ดังนั้นเราจึงต้องค้นหาเมนูอาหารด้วยตัวเราเอง หลังจากนั้นให้ตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองว่าใน 1 อาทิตย์นั้น เราสะดวกจะทานมังสวิรัติในวันไหน หรืออาจตั้งใจวันละ 1 มื้อก็ได้ 

หรือใช้เทคนิคงดสัตว์บกไปก่อนแต่ยังคงกินสัตว์น้ำ จากนั้นให้งดสัตว์น้ำทีละชนิด จากนั้นงดเนื้อสัตว์ทุกชนิด

การทานมังสวิรัติจะทำให้กระเพาะย่อยเร็วขึ้น อาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว  และเราจะมีระบบขับถ่ายที่ดีขึ้น

ดังนั้น อย่ารอช้าไปเลย เรามาเริ่มทาน มังสวิรัติกันเถอะค่ะ


วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559

มังสวิรัติกับสิ่งแวดล้อม

เมื่อเราเป็นคนใส่ใจสุขภาพและใส่ใจสิ่งแวดล้อมแล้ว เราย่อมสรรหาสิ่งที่ดีให้กับชีวิตเราเอง เช่นเรื่องอาหารการกิน เริ่มจาการสรรหาอาหารเพื่อสุขภาพมารับประทาน โดยการลดสัดส่วนของเนื้อสัตว์ลงทุกชนิด 

ถ้าถามว่าทำไมจึงต้องลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลงก็ต้องบอกว่าไปเจอข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจเข้า คือการบริโภคเนื้อสัตว์ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม แน่นอนว่าบางคนอาจสงสัยว่าเนื้อสัตว์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างไร และผลเสียของการบริโภคเนื้อสัตว์กับร่างกายคืออะไร เราไปดูข้อมูลนี้กันค่ะ


ก่อนอื่นมาดูข้อมูลอัตราการบริโภคเนื้อสัตว์ก่อนค่ะ


สถาบัน Worldwatch ชี้ว่าทั้งปริมาณการผลิตและการบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ในประเทศที่กำลังพัฒนาเพิ่มขึ้นมากในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา จำนวนสัตว์ในฟาร์มเช่น หมู แกะ แพะ รวมถึงสัตว์ปีกเพิ่มขึ้นราว 23 % ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านตัวทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงจากสังคมชนบทเป็นสังคมเมือง และการมีรายได้มากขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้การผลิต และการบริโภคเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นในประเทศที่กำลังพัฒนา การบริโภคของกลุ่มชนชั้นกลางใน จีน อินเดีย และบราซิลเพิ่มสูงขึ้น เพราะคนมีรายได้มากขึ้น พวกเขาจะหาซื้ออาหารที่คิดว่ามีคุณภาพ ซื้อนม เนยแข็งและเนื้อสัตว์มากขึ้น ความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ นำไปสู่การเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มขนาดใหญ่ที่เรียกกันว่าโรงงานฟาร์ม 

  • ผลเสียจากการบริโภคเนื้อสัตว์ต่อร่างกาย
มีผลการศึกษาตีพิมพ์ในวารสาร Archives of Internal Medicine ที่สรุปว่าการรับประทานเนื้อสัตว์สี่ขาเช่น เนื้อวัว หมู และแกะสร้างความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเป็นโรคหัวใจ และมะเร็ง รวมถึงสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคนในประเทศที่บริโภคเนื้อสัตว์ จำนวนมากจะมีจำนวนผู้ป่วยเป็นโรคต่างๆมากเช่นกัน โดยเฉพาะโรคหัวใจ และมะเร็ง นอกจากนี้ยังทำให้แก่เร็ว และอายุสั้นกว่ากลุ่มคนที่กินพืชผัก ( http://www.voathai.com, http://www.worldwatch.org )

 
Photograph: Alamy
  • ผลเสียจากอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์
หลายคนอาจยังไม่ทราบถึงปัญหาของการทำปศุสัตว์ที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม หากเปรียบเทียบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของเนื้อวัวกับพืช เช่น มันฝรั่ง ข้าวสาลี หรือข้าว ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการเลี้ยงวัวเข้าขั้นสูงสุด เพราะต้องใช้พื้นที่มากกว่าถึง 160 เท่า และปล่อยก๊าซมีเทนที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกมากถึง 11 เท่า นอกจากนี้ฟาร์มปศุสัตว์อื่นๆก็ปล่อยก๊าซมีเทนเหมือนกันเช่น ฟาร์มแกะ และหมู

เกษตรกรรมนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันสภาวะโลกร้อน โดยคิดเป็นทั้งสิ้นร้อยละ 15 จากการปลดปล่อยก๊าซมีเทนทั้งหมด โดยกว่าครึ่งนั้นมาจากการปศุสัตว์ ยิ่งไปกว่านั้น ปริมาณน้ำและอาหารที่จำเป็นต้องใช้ในการเลี้ยงวัวอย่างมหาศาลสร้างความกังวลให้กับ ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากภายในปี 2050 เราจะมีประชากรเพิ่มขึ้นอีกถึง 2 พันล้านคน ( http://www.theguardian.com


ถ้าทราบดังนี้แล้วขอเชิญชวนเพื่อนๆ ลดปริมาณการบริโภคเนื้อสัตว์กันนะคะ แต่ถ้ากลัวว่าจะไม่ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน เรามีอีกบทความที่ขอเชิญเพื่อนให้ติดตามกันต่อตอนหน้าค่ะ


วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2559

DIY น้ำหมักชีวภาพแบบง่ายๆ

น้ำหมักชีวภาพ นับว่าเป็นน้ำที่มีคุณสมบัติพิเศษอย่างไม่น่าเชื่อ และวิธีการทำนั้นก็ง่ายเกินคาดเช่นกัน
ดังนั้น เรามาเริ่มลงมือทำไปด้วยกันนะคะ

อัตราส่วนตามภาพเลยค่ะ


จากนั้นเรามาเริ่มเตรียมวัตถุดิบกันค่ะ
  • ขยะสดได้แก่ เศษผักหรือเปลือกผลไม้ต่างๆ  3 ส่วน (อันนี้ไปขอมาจากร้านน้ำผลไม่ปั่น) 
  • น้ำตาลทรายแดง  1 ส่วน
  • น้ำสะอาด 10 ส่วน 
  • ขวดน้ำพลาสติก



เมื่อได้วัตถุดิบครบแล้ว เรามาลงมือทำกันเลยค่ะ
โดยการกรอกน้ำสะอาดใส่ขวด และใส่น้ำตาลทรายแดงตามลงไป ในอัตราส่วน น้ำ 10 ส่วน น้ำตาลทรายแดง 1 ส่วน โดยต้องเหลือพื้นที่ว่างในขวดมากกว่า 20 เปอร์เซนต์ขึ้นไปนะคะ (เอาไว้ให้น้ำหมักหายใจ) เสร็จแล้วเขย่าเล็กน้อยให้น้ำตาลทรายแดงละลาย




ขั้นตอนต่อไปเรามาเริ่มที่การหั่นเศษผักหรือเปลือกผลไม้ให้เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อจะได้ใส่ปากขวดได้
แต่ถ้าใครใช้ขวดหรือถังขนาดใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องหั่นเล็กขนาดนี้ก็ได้ค่ะ




ใส่เปลือกผลไม้ที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆลงไปในขวด (ครั้งนี้ใช้ขวดปากแคบไปหน่อย เสียเวลาใส่อยู่นานเลยค่ะ) เสร็จแล้วเขย่าเล็กน้อยให้ทุกอย่างเข้ากัน




เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายที่จะทำคือ เขียนวันที่บอกไว้ว่าเราเริ่มหมักวันไหน จะได้จำได้เพราะเราต้องรอต่อไปอีกอย่างน้อย 3 เดือน น้ำหมักจึงจะมีประสิทธิภาพในการใช้งาน และอีกอย่างถ้าใครทำหลายๆขวดแล้วอยากทดลองว่าวัตถุดิบที่ใช้ให้กลิ่นยังไงก็ลองเขียนติดขวดไว้ได้ค่ะ (ส่วนน้ำหมักขวดนี้คิดว่าน่าจะได้กลิ่นหอมจากมะนาวและส้มค่ะ ต้องรอลุ้นกันอีกที)



เสร็จแล้วค่ะ น้ำหมักชีวภาพแบบง่ายมากๆ ที่เหลือคือช่วงประมาณ 1 เดือนแรกต้องคอยเปิดฝาขวดให้แก๊สได้ระบายออกไป (มิเช่นนั้นขวดอาจจะระเบิดได้) น้ำหมักจะทำปฏิกิริยากันและเริ่มมีแก๊สตั้งแต่ 2-3 วันแรกเลยค่ะ ควรเปิดฝาขวดทุกวัน พอเปิดให้แก๊สออกมาแล้วก็รีบปิดกลับไปตามเดิมนะคะ ไม่เปิดทิ้งไว้


หลังจากนี้อีก 3 เดือนเรามมาดูผลไปพร้อมๆกันค่ะ




วิธีทำน้ำหมักชีวภาพ

ถ้าเราทุกคน ทุกบ้านมาร่วมกันทำเอนไซม์ไว้ใช้เอง น่าจะดีไม่ใช่น้อย ได้ทั้งการลดสารพิษตกค้าง ได้เรื่องสุขภาพ แล้วที่สำคัญยังช่วยสิ่งแวดล้อมได้อีกมากมาย

ก่อนอื่นต้องมาศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการ ขั้นตอนการทำน้ำหมักชีวภาพกันก่อน

วัสดุ อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1. ถังพลาสติก ขวดน้ำพลาสติกขนาดใหญ่ ที่มีฝาปิดมิดชิด(ไม่ควรใช้แก้วหรือโลหะ เพราะน้ำหมักจะขยายตัวจึงอาจระเบิดได้)
2. ขยะสด เศษผัก ผลไม้ เปลือกผลไม้ (หั่นเป็นชิ้นเล็ก)
3. น้ำตาลทรายแดง
4. น้ำสะอาด



ขั้นตอนการทำเอนไซม์อเนกประสงค์
1. เตรียมถังพลาสติกที่มีฝาปิดมิดชิด 1 ใบ ใส่นำ้ 10 ส่วน เป็นร้อยละ 60 ของถัง
2. เติมนำ้ตาลทรายแดง 1 ส่วนเป็นร้อยละ 10 ของถังแล้วคนให้เข้ากัน
3. เพิ่มขยะสดเข้าไป 3 ส่วน เติมใส่ถัง เป็นร้อยละ 80
4. ปิดฝาถังให้แน่น หมักไว้อย่างน้อย 3 เดือน เดือนแรกต้องหมั่นเปิดฝา

ข้อแนะนำอื่นๆ

  • ถ้าต้องการให้นำ้หมักชีวภาพที่ทำเสร็จแล้วมีกลิ่นหอม ให้เพิ่มเปลือกผลไม้ที่มีกลิ่นหอมเช่น เปลือกส้ม,   มะนาว, มะกรูด
  • ช่วงอาทิตย์แรกถึง 1 เดือนแรกจะมีแก๊สจากการหมักออกมา ต้องหมั่นเปิดฝาเพื่อระบายแก๊สออก
  • ระบุวันเดือนปีที่ทำไว้บนถัง น้ำหมักจะย่อยสลายโดยใช้เวลา 3 เดือน แต่ถ้าหมักนานกว่านี้ก็ยิ่งดี ยิ่งมีคุณภาพ
  • ถ้าไม่สามารถหาผักสดและเปลือกผลไม้ได้เพียงพอในครั้งเดียว สามารถใส่เพิ่มได้และหมักต่ออีก 3 เดือน โดยเริ่มนับเวลาจากการเพิ่มครั้งสุดท้าย
  • ควรวางนำ้หมักชีวภาพไว้ในที่ร่มมีอากาศถ่ายเทดี หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกแสงแดด และไม่ควรวางไว้ในตู้เย็น
  • หากนำ้หมักชีวภาพมีสีดำ กลิ่นเหม็น แสดงว่าการหมักเกิดการบูดเน่าใช้ไม่ได้ ต้องเพิ่มนำ้ตาลทรายแดง แล้วหมักต่อใหม่อีก 3 เดือน
  • นำ้หมักชีวภาพที่ทำสำเร็จมีสีนำ้ตาลออกเหลือง ดมแล้วมีกลิ่นส้มฉุนแสบจมูก

เวลาทำน้ำหมักให้ทำจิตใจร่าเริงไว้ คุณภาพของน้ำหมักจะดียิ่งขึ้น ^_^
ตอนหน้าจะมา DIY น้ำหมักชีวภาพให้ดูกันค่ะ

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2559

น้ำหมักชีวภาพ คือ...

น้ำหมักชีวภาพ หรือที่บางคนเรียกว่า Enzyme(เอนไซม์)

ตามความเข้าใจจากที่ได้ไปหาข้อมูลมา น้ำหมักชีวภาพคือ การหมักพืชผัก ผลไม้กับน้ำตาล โดยอาศัยระยะเวลาในการทำปฏิกิริยา จนได้เป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์จำนวนมาก ยิ่งใช้เวลาหมักยิ่งนาน ยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้น

ทีนี้มาดูประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพกัน...

ประโยชน์ทางตรง คือ ประโยชน์จากการใช้น้ำหมัก เอามาทำความสะอาดโน่น นี่ นั่น ได้หมด, ใช้ฉีดพ่นเพื่อปรับสภาพอากาศ, เอาไปรดน้ำต้นไม้เป็นปุ๋ยอย่างดี ไม่ต้องใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลงใดๆ หรือเอาไปใส่น้ำเสีย น้ำเน่าก็สามารถบำบัดน้ำให้ใสสะอาดขึ้นมาได้

และประโยชน์ทางอ้อมก็คือ การได้นำเศษขยะสดมาทำประโยชน์ จากที่ขยะเหล่านี้ต้องเน่าเสียส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม กลับกลายเป็นว่า เอามาบำบัดสิ่งแวดล้อมแทน 


ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ การทำปฏิกิริยากันในระหว่างการหมักนั้นจะได้ก๊าซโอโซนขึ้นมาจากกระบวนการดังนี้



ทีนี้มาดูประโยชน์แต่ละด้านและสัดส่วนการใช้งาน



นี่คือน้ำหมักชีวภาพขวดแรกที่ได้มาใช้ (ขวดนี้ได้มาฟรี)


ลักษณะเป็นนน้ำสีเหลืองอ่อนๆ มีเศษตะกอนนอนอยู่ก้นขวด พอเปิดฝามาได้กลิ่นฉุนแสบจมูกพอสมควร อาจเป็นเพราะยังไม่ชินกับกลิ่น 
สิ่งที่ได้ทดลองใช้คือ
1. ใช้ผสมน้ำยาล้างจาน ผลคือไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง แต่ก็ไม่เคยตรวจว่าช่วยลดสารตกค้างจากน้ำยาล้างจานได้หรือไม่

2. ใช้ผสมน้ำเพื่อแช่ล้างผัก ผลไม้ต่างๆ ผลคือ รู้สึกว่าผัก ผลไม้สดชื่น ดูอิ่มน้ำขึ้น สดขึ้น

3. ใช้เทใส่ท่อระบายน้ำต่างๆ อันนี้เห็นผลได้ค่อนข้างชัด คือจากเมื่อก่อนที่บ้านเคยมีแมลงสาบ แต่หลังจากใช้น้ำหมัก รู้สึกว่าแมลงสาบน้อยลงมาก เกือบจะไม่เห็นอีกเลย




ตอนหน้าเราจะมาลงมือทำ น้ำหมักชีวภาพแบบง่ายๆกันค่ะ

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ทำไมเราต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อม...?



ทุกวันที่เราตื่นมาตอนเช้า เราอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใด?

ในฐานะมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง ที่ต้องตื่นเช้ามาแล้วรีบร้อนแต่งตัวไปทำงาน นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ต่อรถเมล์ รถไฟฟ้า เพื่อไปทำงานให้ทัน


ในทุกๆวันต้องผจญภัยไปกับมลพิษมากมาย ทั้งฝุ่นควันจากท่อไอเสียที่บางทีก็กลั้นหายใจไม่ทัน และสูดมันเข้าไป พอมองดูท้องฟ้าก็รู้สึกเศร้าใจเพราะมันดูขมุกขมัว ไม่เหมือนในต่างจังหวัด ที่ถึงแม้จะมีแสงแดดรุนแรง แต่ก็ยังได้เห็นท้องฟ้าใสๆที่ให้ความรู้สึกสดชื่นกว่า




เมื่อกลับมาคิดต่อว่าจะทำยังไง ถ้าไม่อยากให้เกิดสภาวะแบบนี้ต่อไป มิหนำซ้ำยังเลวร้ายลงทุกวัน แล้วคนรุ่นลูกรุ่นหลานหล่ะ จะใช้ชีวิตกันต่อยังไง 
มีวิธีอะไรบ้างที่จะช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น หรืออย่างน้อยไม่ให้เลวร้ายลงก็ยังดี






สิ่งที่เล่ามาทั้งหมดเป็นความคิดที่อยู่ในหัวมานาน แต่ไม่เคยเริ่มต้น หรือลงมือทำอะไรซักที จนวันหนึ่งจุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจก็มาถึง เมื่อได้รู้จักกับ “น้ำหมักชีวภาพ” สิ่งที่ทำจากขยะในห้องครัว กลายเป็นน้ำที่มีประโยชน์ขึ้นมา


คงมีเพื่อนๆหลายคนที่เคยได้ยินชื่อน้ำหมักชีวภาพกันมาแล้ว แต่มีใครรู้บ้างว่า นอกจากน้ำหมักชีวภาพที่ใช้ทำปุ๋ยกับต้นได้แล้ว ยังสามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้อีกมากมาย เช่น บำบัดน้ำเสีย ปรับสภาพอากาศ หยดใส่ตู้ปลาแล้วช่วยให้ปลาหายป่วย เอามาผสมน้ำยาล้างจานและน้ำยาซักผ้าจะช่วยลดสารเคมีตกค้างจากน้ำยาพวกนี้ได้ หรือนำมาผสมน้ำแช่ล้างผักผลไม้แล้วช่วยลดยาฆ่าแมลงตกค้างได้ และใช้ทำความสะอาดอื่นๆอีกมากมาย

พอลองศึกษาข้อมูลในอินเตอร์เนตดูแล้วก็พบว่ามีคนใช้ค่อนข้างแพร่หลายเหมือนกัน และวิธีทำก็แสนจะง่ายดาย (จะยากก็ตรงที่ต้องใช้ความอดทนรอเวลาอย่างน้อย 3 เดือน กว่าจะได้น้ำหมักที่มีประสิทธิภาพ)

ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา จึงตัดสินใจซื้อมาใช้ดูก่อนระหว่างรอเวลาละกัน...ผลจะไปอย่างไรต่อจะมาเล่าให้ฟังตอนหน้าค่ะ

ขอบคุณภาพจาก   pixabay.com, greennewstv.com, komchadluek.net, gfs.com