วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ขิง เพิ่มภูมิร้อนให้ร่างกาย



ากมองตามหลักของจุดปฐมเหตุ เรื่องพลังงานความร้อนของร่างกาย จริงๆแล้ว "ขิง" ไม่ได้มีสรรพคุณทางยาอะไรเลย แต่เป็นแหล่งเพิ่มภูมิร้อนหรือให้พลังงานความร้อนแก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี เพราะทั้งหาง่าย และมีราคาถูก 

เราจึงใช้ขิงมาต้มน้ำดื่มเพื่อเพิ่มพลังงานจากภายในร่างกาย

วิธีการต้มน้ำขิงเข้มข้นให้ได้ผลดีที่สุดคือ
ขิงสด 500 กรัม (ครึ่งกิโลกรัม)  ต่อน้ำ 1000 ml (1 ลิตร) ต้มให้เดือดแล้วเบาไฟลง ใช้ไฟอ่อนต่อไปอีก 3-4 ชั่วโมง (ปิดฝาหม้อขณะต้ม) จนได้น้ำขิงเข้มข้นที่มีปริมาณเหลือเพียง 1 ใน 3 จากปริมาณในตอนแรก

โดยเราจะดื่มในขณะที่ยังอุ่นๆอยู่ อาจใช้หม้อต้มไฟฟ้าที่อุ่นได้ตลอด หรือต้มเสร็จแล้วเก็บไว้ในกระบอกน้ำเก็บความร้อน ดื่มได้ตลอดทั้งวันค่ะ เมื่อดื่มแล้วจะรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่น มีแรงมาจากภายในร่างกาย

การดื่มในช่วงแรกๆ อาจยังไม่ชินเพราะน้ำขิงเข้มข้นจะมีรสค่อนข้างเผ็ดร้อน จึงอาจเติมน้ำร้อนให้เจือจางลง หรือเติมน้ำตาลทรายแดงเพิ่มความหวานได้นิดหน่อย แต่เมื่อดื่มไปเรื่อยๆจะรู้สึกชินและดื่มได้ง่ายขึ้น หรือถ้าร่างกายยังรู้สึกดีอยู่ ก็ไม่ต้องต้มแบบเข้มข้นก็ได้ โดยอาจลดปริมาณขิงลง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของผู้ป่วยหรือของบุคคลนั้นๆเองค่ะ 

นอกจากน้ำขิงแล้วยังมีขิงแห้ง, ขิงผง, เจลขิง, ขิงเม็ด และอื่นๆที่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้อีกมากมาย

ประโยชน์อื่นๆของขิง เช่น
ล้างแผล โดยใช้น้ำขิงอุ่นๆ
รักษาแผลหรือผื่นแพ้ โดยใช้ขิงผง หรือเจลขิงทาบริเวณแผล หรือที่เกิดอาการ
แช่น้ำอาบ ใช้ขิงผง หรือขิงแห้งผสมในน้ำที่แช่อาบ
ปรุงอาหาร  ขิงสดหรือขิงแห้งนำไปปรุงอาหารเพิ่มรสชาติพร้อมได้ประโยชน์อีกมากมาย

สุดท้ายขอแนะนำเพื่อนๆนะคะ ว่าน้ำขิงที่ดีควรเป็นขิงที่เราต้มเอง ไม่ควรใช้น้ำขิงสำเร็จรูปที่เอาไว้ชงดื่มค่ะ เพราะเราจะมั่นใจได้ว่าเป็นน้ำขิงจากธรรมชาติจริงๆ ยิ่งเป็นขิงที่ปลูกแบบอินทรีย์ ไม่ได้ฉีดยาหรือบำรุงด้วยสารเคมีแล้วจะยิ่งดีมากๆเลยค่ะ


ขอบคุณภาพจาก www.pixabay.com

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ประโยชน์ของนำ้หมักชีวภาพ กับทฤษฎีจุดปฐมเหตุ

จากทฤษฎีจุดปฐมเหตุของหมอจาง จ้าว ฮั่น ที่มีแนวคิดว่าปัจจัย(การบาดเจ็บและผลกระทบจากภายนอก) รวมกับเหตุ (การที่ร่างกายขาดพลังงานความร้อนหรือกายป่วย) จะเกิดเป็นผล(อาการหรือระดับต่างๆทางการแพทย์)

ถ้าเรามองถึงปัจจัยด้านผลกระทบจากภายนอก นั่นก็คือสภาพแวดล้อมรอบๆตัวเรา ทั้งอากาศ แสงแดด มลภาวะ สารเคมีตกค้างในข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ถ้าสิ่งเหล่านี้อยู่ในภาวะที่ดี ก็จะลดความเสี่ยงด้านปัจจัยลง และเกิดอาการหรือโรคต่างๆน้อยลง ทุกอย่างจึงสอดคล้องกันหมด

ดังนั้น เราจึงนำประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพที่ช่วยบำบัดสภาพแวดล้อม มาใช้ร่วมกับการศึกษาทฤษฎีจุดปฐมเหตุไปพร้อมๆกันค่ะ

ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพที่ช่วยบำบัดสภาพแวดล้อมรอบๆตัวเรา ได้แก่

1. ใช้ทำความสะอาดที่อยู่อาศัย 

โดยผสมนำ้หมักชีวภาพเจือจางในนำ้และฉีดพ่น จะสามารถขจัดกลิ่น เชื้อรา มลภาวะจากความสกปรกและคราบนำ้มันต่างๆได้

นอกจากนี้น้ำหมักชีวภาพยังใช้ทำความสะอาดพื้นห้อง ตู้เย็น ห้องนำ้ เครื่องดูดนำ้มันและควันในห้องครัว ฝาผนังที่เปื้อนนำ้มัน และยังมีผลทำให้แมลงวัน หนู และแมลงสาบลดลง




2. ลดสารเคมีตกค้างในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ

เพราะในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกหนีผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนทำมาจากสารสังเคราะห์ และสารเคมี ซึ่งหากสะสมอยู่ในร่างกายก็อาจเป็นโทษได้

โดยนำ้หมักชีวภาพสามารถช่วยสลายและกำจัดสารเคมีที่ให้โทษต่อร่างกายได้ เพียงเติมนำ้หมักชีวภาพ ที่เจือจางแล้วในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เช่นสบู่อาบนำ้ ยาสระผม น้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจาน เป็นต้น



3. ทำความสะอาดสัตว์เลี้ยง

โดยใช้น้ำหมักชีวภาพในการฉีดพ่นเพื่อกำจัดกลิ่นของสัตว์เลี้ยง ลดพยาธิในสัตว์ให้น้อยลง จะช่วยส่งเสริมสุขภาพให้สัตว์เลี้ยงแข็งแรงขึ้น





4. ช่วยกำจัดสิ่งตกค้างจากยาปราบศัตรูพืช และสารเคมีของผัก ผลไม้

ปัจจุบันผักผลไม้ส่วนมาก มียาปราบศัตรูพืชและส่วนประกอบของสารเคมีตกค้าง หากรับประทานพืชผักผลไม้ที่มียาปราบศัตรูพืชมากเกินไปเป็นเวลานานๆแล้ว อาจเป็นปัจจัยที่มารวมกับ ร่างกายขาดพลังงานความร้อน และเกิดเป็นอาการของโรคต่างๆได้ที่ร้ายแรงได้

วิธีการใช้คือแช่ผักผลไม้ในนำ้หมักชีวภาพที่เจือจาง เป็นเวลาประมาณ 15 – 30 นาที จะช่วยกำจัดยาปราบศัตรูพืช สารเคมี โลหะหนัก เชื้อโรคและพยาธิที่ตกค้างบนผักและผลไม้ได้




น้ำหมักชีวภาพนับเป็นน้ำวิเศษ ที่นอกจากจะมีประโยชน์มากมายมหาศาลแล้ว ยังมีวิธีทำที่แสนง่ายดาย เพื่อนๆสามารถศึกษาวิธีได้จาก การทำน้ำหมักชีวภาพแบบง่ายๆ

โดยสามารถเข้าไปศึกษาสัดส่วน และวิธีการใช้งานจาก อัตราส่วนการใช้งานน้ำหมักชีวภาพ 

เมื่อเพื่อนๆทราบถึงทฤษฎีจุดปฐมเหตุ และทราบประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพแล้ว เชื่อแน่ว่าหากใช้ทั้งสองอย่างนี้ควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน ทั้งตัวเรา สังคมเรา และโลกของเราคงน่าอยู่ และมีความสุขขึ้นไม่น้อยเลยค่ะ

ขอบคุณภาพจาก
https://pixabay.com, http://www.iorma.com, http://www.petsincumbria.co.uk, https://elitehotelier.net

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

หลักของพลังงานร้อน และฤทธิ์เย็นทำร้ายร่างกาย

มีคำถามจะถามเพื่อนๆว่า ตอนมีชีวิตอยู่ร่างกายเราอุ่นหรือเย็น แล้วตอนตายล่ะร่างกายจะอุ่นหรือเย็น?

เป็นคำถามที่ทุกคนน่าจะตอบได้ ดังนั้นถ้าเรารู้ว่าคนที่ตายไปแล้วมีร่างกายที่เย็น ก็แปลว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้ก็ต่อเมื่อเรามีพลังงานความร้อนภายในร่างกาย เป็นพลังงานที่ทำให้เรามีชีวิต

อาหารก็มีทั้งอาหารฤทธิ์ร้อน ฤทธิ์เย็น เมื่อเรากินอาหารเหล่านี้เข้าไปก็จะไปส่งผลต่อพลังงานในร่างกายเช่นกัน ดังนั้นถ้าร่างกายเราค่อนข้างเย็น เราก็ไม่ควรทานอาหารที่มีฤทธิ์เย็นอีก เพราะถ้ามีปัจจัยด้านอาหารเข้ามารวมกับเหตุ จะทำให้เกิดอาการที่รุนแรงได้

ส่วนอาหารฤทธิ์ร้อนหรือเย็นนั้น ตามหลักของจุดปฐมเหตุ สามารถแยกตามรสชาติได้  คือ
หวานเปรี้ยว  คือ ฤทธิ์เย็นจัด (เช่น แตงโม ส้ม น้ำเต้า เห็ดเข็มทอง)
หวานชุ่มคอ เค็ม  คือ ฤทธิ์เย็น (เช่น กาแฟ พุทรา ข้าวเจ้า )
เผ็ดซ่า  คือ ฤทธิ์อุ่น (เช่น ต้นหอม กระเทียม ขิงสด )
เผ็ด  คือ ร้อน (เช่น พริกไทย ขิงแห้ง ยี่หร่า พริก วาซาบิ)
ส่วนขม ยังไม่แน่นอน
* เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาปฏิชีวนะ เป็น ฤทธิ์เย็นจัด

มีตารางอาหารฤทธิ์ร้อน-เย็น มาให้เพื่อนๆลองดูกัน แต่จะเป็นเฉพาะอาหารมังสวิรัติค่ะ



ตามหลักของจุดปฐมเหตุ จะใช้ " ขิง " (ต้มเป็นน้ำขิงดื่มอุ่นๆ) เพื่อเพิ่มพลังความร้อนให้ร่างกาย จริงๆแล้วโสมก็ใช้ได้ค่ะ แต่โสมมีราคาแพงมาก เราจึงใช้ขิงที่มีราคาถูกเป็นอาหารที่ช่วยเพิ่มพลังความร้อนแก่ร่างกายเป็นหลักค่ะ ดูรายละเอียด การใช้ขิงเพิ่มภูมิร้อนให้ร่างกาย






สรุป จริงๆแล้วร่างกายเราเป็นเย็น แต่พลังงานความร้อนทำให้เรามีชีวิตอยู่ และมีแรงมีกำลัง ดังนั้นถ้าเรามีพลังงานความร้อนลดลงก็จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ เราจึงต้องพยายามเพิ่มพลังงานความร้อนให้ร่างกายด้วยการ กินอาหารที่มีฤทธิ์อุ่น-ร้อน, ออกกำลังกาย, ประคบอุ่น (เมื่อร่างกายอ่อนแอหรือขาดพลังงาน) และพยายามทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ

นอกเหนือจากการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงแล้ว เพื่อนๆอย่าลืมทำจิตใจให้แจ่มใส ร่าเริงด้วยนะคะ

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ทฤษฎีปัจจัย เหตุ และผลของจุดปฐมเหตุ



การแพทย์ปฐมเหตุเชื่อว่าอาการต่างๆของโรคทั้งหลาย มีสาเหตุมาปัจจัย(การบาดเจ็บและผลกระทบจากภายนอก) รวมกับเหตุ(การที่ร่างกายขาดพลังงานความร้อนหรือกายป่วย) จนเกิดเป็นผล(อาการหรือระดับต่างๆทางการแพทย์) ซึ่งเหตุเพียงเหตุเดียวเกิดได้หลายอาการ

ดังนั้นการแพทย์ปฐมเหตุจึงมุ่งไปรักษาที่เหตุของอาการ ซึ่งต่างจากการแพทย์แผนปัจจุบันที่คิดว่าอาการต่างๆหรือผลของโรคเป็นต้นเหตุ และไปรักษาอาการตามผลที่เกิดขึ้น ปล่อยให้สาเหตุที่แท้จริงยังคงอยู่


สรุป เมื่อเทียบกันดูจะพบว่า การแพทย์ปฐมเหตุ รักษาแค่ที่ต้นเหตุอย่างเดียวก็ช่วยรักษาอาการหลายอาการจากต้นเหตุนี้ได้หมด 

แต่แพทย์แผนปัจจุบันรักษาที่ผล ที่อาการทีละอย่าง ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุจริงๆ ดังนั้นต้นเหตุก็จะยังอยู่ จึงต้องรักษาที่ผลไปเรื่อยๆ


บทความตอนนี้อาจดูเป็นวิชาการและเข้าใจยากสักหน่อยนะคะ แต่เชื่อว่าหากเพื่อนๆค่อยๆอ่านและทำความเข้าใจ ก็จะเกิดผลดีต่อตัวเพื่อนๆเองไม่น้อยเลยค่ะ 


ภาพแสดงจุดกดนวดปฐมเหตุ

ตอนนี้เรามาลองฟังแนวคิดของทฤษฎี Origin Point Therapy ในภาษาจีนจะเรียกว่า เอวี๋ยนสือเตี่ยน หรือในชื่อภาษาไทยคือ จุดปฐมเหตุ ทั้งหมดคือสิ่งเดียวกัน โดยในที่นี้เพื่อให้ง่ายเราจะเรียกตามภาษาไทย คือจุดปฐมเหตุ



และเพื่อให้คนไทยที่สนใจได้ศึกษาจึงมีผู้แปลจุดกดนวดต่างๆ ออกมาเป็นภาษาไทย 

จากภาพ 
โดยกดนวดตามเส้นสีแดง (ดูClipวิธีกดนวดได้จาก https://www.youtube.com/playlist?list=PL60yuIOv4XkK2ovzbkqeENYB6bWZiQU5U

เรามาดูรายละเอียดของตำแหน่ง และการบรรเทาอาการตามตำแหน่งต่างๆ โดยเริ่มจากสีฟ้าที่เป็นส่วนตามแนวกระดูกสันหลัง
เลข 1 (สีฟ้า) จุดปฐมเหตุส่วนคอ
กดนวดตามตำแหน่งใต้ขอบกระดูกท้ายทอย และจุดข้างกระดูก ต้นคอทั้งสองข้าง ควรประคบอุ่น
ช่วยบรรเทาอาการ ปวดต้นคอ เจ็บคอ ปวดบ่าไหล่ ปวดบริเวณไหปลาร้า

เลข 2 (สีฟ้า) จุดปฐมเหตุหลังส่วนบน
กดนวดตามตำแหน่ง ข้างกระดูกสันหลังส่วนบนทั้งสองข้าง ควรประคบอุ่น
ช่วยบรรเทาอาการ ปวดคอ ปวดหลัง(ปวดสะบัก ปวดกลางหลัง ปวดกระดูกสันหลังส่วนบน) แน่นหน้าอก ปวดหลังบ่า ปวดน่อง และน่องเป็นตะคริว 
อาการเจ็บป่วยที่แผ่นหลังส่วนบน เช่น หอบหืด ไอ กล้ามเนื้อหัวใจตีบและอุดตัน เจ็บหัวใจ ใจสั่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะ เจ็บกระเพาะ

เลข 3 (สีฟ้า) จุดปฐมเหตุหลังส่วนล่าง
กดนวดตามตำแหน่ง ข้างกระดูกสันหลัง ของหลังส่วนล่างทั้งสองข้าง ควรประคบอุ่น
ช่วยบรรเทาอาการ ปวดสีข้าง ปวดเอว (ปวดกระดูกสันหลังส่วนเอว ปวดข้างเอว ปวดกลางเอว) ปวดกระดูกเชิงกรานส่วนบน ปวดกระเบนเหน็บ

เลข 4 (สีฟ้า) จุดปฐมเหตุส่วนกระเบนเหน็บ
กดนวดตามตำแหน่ง ข้างกระเบนเหน็บทั้งสองข้าง ควรประคบอุ่น
ช่วยบรรเทาอาการ เจ็บสะโพกส่วนล่าง (รวมทั้งส่วนที่เป็นกระดูกอยู่ตรงกลาง) ปวดท้องน้อย เจ็บกระดูกหัวเหน่า

และสีดำเป็นจุดปฐมเหตุอื่นๆและจุดพิเศษ

เลข 1 (สีดำ) จุดปฐมเหตุของส่วนศีรษะ 
กดนวดตามตำแหน่งใต้ใบหู ใต้ขอบกระดูกท้ายทอย ควรประคบอุ่น
ช่วยบรรเทาอาการ ปวดศีรษะทั้งหมด เปลือกตากระตุก ปวดลูกตา โรคตาแห้ง อาการปากเบี้ยว ตาเข พูดไม่ชัด ลิ้นชา ปวดแสบปวดร้อน ใบหน้าชา ปวดฟัน หูหนวก หูแว่ว มือเท้าชักกระตุกหรืออ่อนแรง 
อาการของโรคบนศีรษะ เช่น โรคเส้นเลือดในสมอง สมองกระเทือน โรคลมชัก โรคซึมเศร้า โรคหวัด เป็นไข้ นอนไม่หลับ โรคสมองเสื่อม โรคภูมิแพ้ เป็นสิว มะเร็งสมอง มะเร็งช่องปาก มะเร็งโพรงจมูก มะเร็งโคนลิ้น เป็นต้น

เลข 2 (สีดำ) จุดปฐมเหตุส่วนไหล่
กดนวดตามตำแหน่งกระดูกสะบัก ควรประคบอุ่น
ช่วยบรรเทาอาการ ปวดบ่า (ส่วนบนและส่วนหน้า) ปวดต้นแขน รักแร้ ราวนม

เลข 8 (สีดำ) จุดปฐมเหตุพิเศษของกระดูกสะบัก
กดนวดตามตำแหน่งข้างกระดูกสะบัก จุดพิเศษนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาของจุดปฐมเหตุหลังส่วนบน มีผลต่อการรักษามะเร็งเต้านม มะเร็งปอด ไอ แน่นหน้าอก

เลข 3 (สีดำ) จุดปฐมเหตุข้อศอก
กดนวดตามแนวหลังข้อศอก ควรประคบอุ่น
ช่วยบรรเทาอาการ เจ็บข้อศอก เจ็บแขนส่วนล่าง เจ็บข้อมือ เจ็บหลังมือ

เลข 4 (สีดำ) จุดปฐมเหตุหลังมือ
กดนวดข้างกระดูกหัวแม่มือ ควรประคบร้อน
ช่วยบรรเทาอาการ เจ็บหัวแม่มือ

กดนวดระหว่างกระดูกหลังมือ ตามแนวระหว่างนิ้วมือ ควรประคบอุ่น
ช่วยบรรเทาอาการ เจ็บกลางฝ่ามือ เจ็บนิ้วมือ นิ้วมือชา

โดยรวมช่วยบรรเทาอาการต่างๆของบริเวณมือ เช่น มีตุ่มใส มือมีเหงื่อออกมามาก นิ้วบวม กลากเกลื้อน ข้อมืออักเสบ

เลข 5 (สีดำ) จุดปฐมเหตุของส่วนสะโพก
กดนวดจุดข้างสะโพกที่เกิดอาการ ควรประคบอุ่น
ช่วยบรรเทาการ เจ็บขาทั้งหมด (ต้นขา เข่า ข้อพับ งอเข่าไม่ได้ หน้าแข้งทั้งด้านหนน้าและด้านข้าง เอ็นร้อยหวาย ตาตุ่ม)

หมายเหตุ ปวดน่อง น่องเป็นตะคริว ให้ใช้จุดหลังส่วนบน

เลข 6 (สีดำ) จุดปฐมเหตุของข้อเท้า
กดนวดจุดส่วนหน้า ล่างและส่วนหลังตาตุ่มด้านในและส่วนที่อยู่เหนือขึ้นไป ควรประคบร้อน
ช่วยบรรเทาอาการ เจ็บตาตุ่ม เจ็บฝ่าเท้าส่วนกลาง และส้นเท้า

เลข 7 (สีดำ) จุดปฐมเหตุหลังเท้า
กดนวดจุดระหว่างร้องกระดูกเท้า
ช่วยบรรเทาอาการ เจ็บนิ้วเท้า เจ็บฝ่าเท้าส่วนหน้า อาการต่างๆของโรคที่อยู่บริเวณตาตุ่มและหลังเท้า เช่นตุ่มใส เท้าเหงื่อออกมาก เท้าแตก กลากเกลื้อน โรคเกาต์ ฮ่องกงฟุต เป็นต้น

เลข 9 (สีดำ) จุดปฐมเหตุพิเศษของเข่า
กดนวดจุดเหนือหัวเข่าทั้งสองด้าน
ช่วยบรรเทาอาการ เจ็บหัวเข่า เจ็บลูกสะบ้า

หมายเหตุ อาการของบางโรคที่อยู่ส่วนเอว กระเบนเหน็บ และสะโพก เช่นท้องอืด ท้องเสีย มะเร็งตับ โรคไต มะเร็งตับอ่อน ท้องน้อยปวดบวม ท้องผูก ริดสีดวง  ปัสสาวะถี่ ปัสสาวะน้อย ปัสสาวะเจ็บแสบ ประจำเดือนผิดปกติ ปวดประจำเดือน เนื้องอกมดลูก ตกขาว ช่องคลอดอักเสบ มะเร็งต่อมลูกหมาก ผื่นคันตามหน้าท้องและขา มะเร็งรังไข่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น 
โดยบางอาการจะต้องกดนวดมากกว่า 1 ตำแหน่ง คือกดนวดทั้งจุดปฐมเหตุหลังส่วนล่าง จุดสะโพก และจุดกระเบนเหน็บ ขึ้นอยู่กับบริเวณที่มีอาการ


แผนภาพแสดงจุดกดนวดทั้งร่างกาย ดูแล้วไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ น้ำหนักและวิธีการกดนวดเพื่อนๆต้องศึกษาจากคลิปวีดีโอสอนกดนวดให้เข้าใจก่อนจาก https://www.youtube.com/playlist?list=PL60yuIOv4XkK2ovzbkqeENYB6bWZiQU5U ดูหลายๆรอบแล้วค่อยๆทำความเข้าใจ เพียงเท่านี้เราก็จะใช้วิธีกดนวดจุดปฐมเหตุนี้รักษาอาการเจ็บป่วยอย่างได้ผลแล้วค่ะ