วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2560

น้ำหมักชีวภาพ ทำความสะอาด

น้ำหมักชีวภาพ ทำความสะอาดคราบสกปรก
สวัสดีเพื่อนๆทุกคนค่ะ บทความนี้จะขอเล่าประสบการณ์เล็กๆน้อยๆ เกี่ยวกับการใช้น้ำหมักชีวภาพทำความสะอาดค่ะ

หลังจากที่ได้คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่มาทำงาน ไม่กี่เดือนผ่านมาก็รู้สึกได้ว่าคีบอร์ดตัวเองมีคราบดำมากขึ้นเรื่อยๆ และคิดมาหลายวันแล้วว่าจะต้องทำความสะอาด ตอนนั้นหันไปเห็นน้ำหมักชีวภาพอยู่บนโต๊ะ จึงคิดว่าจะลองใช้ดู คิดว่าน่าจะได้ผลดีอยู่ จึงใช้สำลีพันก้านไม้ที่เอาไว้ล้างแผลมาลองเช็ดดู (จริงๆแล้วใช้ผ้าหรือสำลีธรรมดาก็ได้นะคะ)

เรามาลองดูสภาพของคีบอร์ดกันก่อนค่ะ 

นี่คือสภาพคีบอร์ที่ใช้อยู่ จะเห็นว่าเป็นคล้ายๆขี้ไคลดำๆอยู่บนแป้น โดยเฉพาะปุ่มไหนใช้บ่อย ก็จะดำเป็นพิเศษ




ต่อมาคือน้ำหมักชีวภาพที่มีอยู่ และสำลีพันก้านไม้ค่ะ  เมื่อลองนำน้ำหมักมาเช็ดคราบสกปรก ปรากฏว่าคราบดำๆก็หลุดทันทีเลยค่ะ ออกมาเป็นขี้ไคลดำๆ




ผลจากการใช้งาน น้ำหมักชีวภาพทำได้ดีจริงๆค่ะ ทีนี้ก็เช็ดไปยาวๆเลย พอถูออกมาแล้วใช้ผ้าหรือทิชชู่เช็ดอีกรอบ สุดท้ายได้คีบอร์ดเหมือนซื้อมาใหม่เลยค่ะ



เรามาดูภาพเปรียบเทียบของคีบอร์ด ก่อนและหลังใช้งานกันค่ะ



สรุปผลที่ได้ ถือว่าพอใจมากค่ะ น้ำหมักชีวภาพสามารถทำความสะอาดได้ดีจริงๆค่ะ เพียงถูเบาๆคราบสกปรกก็ออกแล้ว


นอกจากทำความสะอาดคราบดำแล้ว เพื่อนๆสามารถใช้น้ำหมักทำความสะอาดได้ทุกอย่างเลยค่ะ ต้องลองไปทำใช้กันดูนะคะ ดีต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังใช้งานได้ผลดีอีกค่ะ

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

DIY เจลขิงรักษาแผล

ประโยชน์ที่น่าสนใจอีกอย่างของขิงคือ การรักษาแผล นอกจากแผลทั่วไปแล้ว แผลพุพองจากน้ำร้อนลวก ผื่นแพ้ทั่วไป รวมถึงสิวอักเสบ หรือแมลงกัดต่อยก็ใช้ได้ผลดีค่ะ อีกอย่างเราจะมั่นใจได้ว่าเป็นการรักษาที่มาจากธรรมชาติอย่างแท้จริง ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะแพ้ยาค่ะ

แต่เนื่องจากเป็นยาจากธรรมชาติก็มีข้อเสียอยู่นะคะ คือเวลาทาที่แผลสดอาจจะรู้สึกร้อนหรือแสบ หากใช้กับเด็กอาจทนไม่ไหว แต่จะได้ผลการรักษาที่ชัดเจน

ส่วนผสมของเจลขิงนั้นมีแค่วาสลิน และขิงผงค่ะ ซึ่งเราสามารถหาซื้อขิงผงแบบ 100 % ได้ตามร้านขายสมุนไพร หรือทำเองก็ได้โดยการเอาขิงมาหั่นเป็นแผ่นบางๆ แล้วตากแดดจนแห้งสนิท นำไปคั่วไฟอ่อนๆประมาณ 20 - 25 นาที แล้วนำมาบดหรือตำให้ละเอียด เมื่อได้ขิงผงมาแล้วเราจะมาเริ่มทำเจลขิงกันนะคะ

วัสดุ อุปกรณ์
1. วาสลิน ปิโตรเลียมเจลลี่ 3 ส่วน
2. ขิงผงจากเนื้อขิงบดละเอียด 1 ส่วน
3. กระปุกหรือตลับเล็กๆ
4. กระทะ และหม้อสแตนเลส ที่สามารถวางซ้อนกันได้


วิธีทำ
  1. ใส่น้ำในกระทะและต้มให้เดือด แล้วเบาไฟลง นำหม้อสแตนเลสอีกใบมาวางซ้อน(เรียกว่าวิธี double boil)
  2. ใส่วาสลินลงในหม้อแล้วคนให้ละลายเป็นน้ำใสๆ 


  3. ค่อยๆเติมขิงผงลงไป แล้วคนให้เข้ากัน


  4. ต้มไปเรื่อยๆประมาณ 3 ชม. ระหว่างต้มคอยคนเป็นระยะๆ หากน้ำในกระทะแห้งก็ให้เติมเข้าไปใหม่
  5. ยกลงจากเตาแล้วตักใส่ขวดหรือกระปุกที่เตรียมไว้ 



  6. รอจนเจลขิงเย็นลงจึงปิดฝาให้สนิท

เพียงส่วนผสมแค่ 2 อย่างเท่านั้น ก็สามารถทำเจลขิงไว้ทาแผลได้แล้วค่ะ
เพื่อนๆลองไปทำกันดูนะคะ


วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2559

DIY น้ำหมักชีวภาพแบบง่ายๆ (หลังหมัก 3 เดือน)

หลังจากห่างหายไปกว่า 3 เดือน ลืมไปรึยังคะว่าเราทำน้ำหมักชีวภาพไว้
ตอนนี้น้ำหมักชีวภาพอเนกประสงค์ก็พร้อมใช้งานแล้ว 


เรามาดูการเปลี่ยนแปลงตามลำดับกันค่ะ

เริ่มทำวันแรก
น้ำจะเป็นสีของน้ำตาลทรายแดง สีค่อนข้างเข้ม และใส เปลือกผลไม้ลอยอยู่ด้านบน






ประมาณ 1- 2 สัปดาห์
น้ำเริ่มขุ่น และมีแก๊สเยอะ ช่วงนี้ต้องเปิดฝาทุกวัน พอเปิดจะมีแก๊สออกมา เหมือนตอนเราเปิดขวดน้ำอัดลมค่ะ กลิ่นแก๊สที่ออกมาเหมือนกลิ่นส้มสุกๆ (แบบใกล้เน่า) ไม่ฉุน 

ผ่านไปประมาณอาทิตย์ที่ 2 ก็เริ่มมีกลิ่นแอลกอฮอล์ปนนิดๆ


ประมาณ 1 เดือน ก็ไม่มีแก๊สแล้วค่ะ แต่ถ้าเป็นการหมักเยอะหรือถังใหญ่ๆ อาจจะยังมีแก๊สอยู่ ต้องลองสังเกตดู ถ้าไม่มีแก๊สออกมาแล้วก็ไม่ต้องเปิดฝาแล้วค่ะ วางทิ้งไว้ยาวๆเลย





ผ่านไป 3 เดือน
เราก็จะได้หน้าตาน้ำหมักออกมาเป็นแบบนี้เลยค่ะ เปลือกผลไม้ต่างๆก็จมลงอยู่ก้นขวด น้ำเป็นสีน้ำตาลใส สังเกตุดูรู้สึกว่าสีอ่อนกว่าตอนแรกที่หมัก เมื่อดมกลิ่นดูถือว่าใช้ได้เลย ส่วนตัวคิดว่าหอมอยู่นะคะ แต่ถ้าตอนแรกที่ยังไม่ชินก็จะรู้สึกว่ากลิ่นแปลกๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของผลไม้หรือผักที่ใช้หมัก



ต่อจากนี้ก็กรองเอากากออกได้ หรือจะใช้วิธีเอาสายยางเล็กๆมาดูดแต่น้ำออก เอามาใช้เท่าที่จำเป็น ส่วนที่เหลือก็แช่ไว้เหมือนเดิม เพราะยิ่งหมักไว้นานเท่าไหร่ น้ำหมักก็จะมีคุณภาพที่ดีมากขึ้นค่ะ 

ถ้าเพื่อนๆอยากดูขั้นตอนการทำอีกครั้งก็ไปดูกันได้ที่ DIY น้ำหมักชีวภาพแบบง่ายๆ 
และถ้าอยากรู้ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพก็เข้าไปที่ ประโยชน์น้ำหมัก ได้เลยค่ะ



อย่าลืมไปลองทำ และทดลองใช้กันดูนะคะ เพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อโลก เพื่อตัวเราเอง !!!





วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ขิง เพิ่มภูมิร้อนให้ร่างกาย



ากมองตามหลักของจุดปฐมเหตุ เรื่องพลังงานความร้อนของร่างกาย จริงๆแล้ว "ขิง" ไม่ได้มีสรรพคุณทางยาอะไรเลย แต่เป็นแหล่งเพิ่มภูมิร้อนหรือให้พลังงานความร้อนแก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี เพราะทั้งหาง่าย และมีราคาถูก 

เราจึงใช้ขิงมาต้มน้ำดื่มเพื่อเพิ่มพลังงานจากภายในร่างกาย

วิธีการต้มน้ำขิงเข้มข้นให้ได้ผลดีที่สุดคือ
ขิงสด 500 กรัม (ครึ่งกิโลกรัม)  ต่อน้ำ 1000 ml (1 ลิตร) ต้มให้เดือดแล้วเบาไฟลง ใช้ไฟอ่อนต่อไปอีก 3-4 ชั่วโมง (ปิดฝาหม้อขณะต้ม) จนได้น้ำขิงเข้มข้นที่มีปริมาณเหลือเพียง 1 ใน 3 จากปริมาณในตอนแรก

โดยเราจะดื่มในขณะที่ยังอุ่นๆอยู่ อาจใช้หม้อต้มไฟฟ้าที่อุ่นได้ตลอด หรือต้มเสร็จแล้วเก็บไว้ในกระบอกน้ำเก็บความร้อน ดื่มได้ตลอดทั้งวันค่ะ เมื่อดื่มแล้วจะรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่น มีแรงมาจากภายในร่างกาย

การดื่มในช่วงแรกๆ อาจยังไม่ชินเพราะน้ำขิงเข้มข้นจะมีรสค่อนข้างเผ็ดร้อน จึงอาจเติมน้ำร้อนให้เจือจางลง หรือเติมน้ำตาลทรายแดงเพิ่มความหวานได้นิดหน่อย แต่เมื่อดื่มไปเรื่อยๆจะรู้สึกชินและดื่มได้ง่ายขึ้น หรือถ้าร่างกายยังรู้สึกดีอยู่ ก็ไม่ต้องต้มแบบเข้มข้นก็ได้ โดยอาจลดปริมาณขิงลง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของผู้ป่วยหรือของบุคคลนั้นๆเองค่ะ 

นอกจากน้ำขิงแล้วยังมีขิงแห้ง, ขิงผง, เจลขิง, ขิงเม็ด และอื่นๆที่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้อีกมากมาย

ประโยชน์อื่นๆของขิง เช่น
ล้างแผล โดยใช้น้ำขิงอุ่นๆ
รักษาแผลหรือผื่นแพ้ โดยใช้ขิงผง หรือเจลขิงทาบริเวณแผล หรือที่เกิดอาการ
แช่น้ำอาบ ใช้ขิงผง หรือขิงแห้งผสมในน้ำที่แช่อาบ
ปรุงอาหาร  ขิงสดหรือขิงแห้งนำไปปรุงอาหารเพิ่มรสชาติพร้อมได้ประโยชน์อีกมากมาย

สุดท้ายขอแนะนำเพื่อนๆนะคะ ว่าน้ำขิงที่ดีควรเป็นขิงที่เราต้มเอง ไม่ควรใช้น้ำขิงสำเร็จรูปที่เอาไว้ชงดื่มค่ะ เพราะเราจะมั่นใจได้ว่าเป็นน้ำขิงจากธรรมชาติจริงๆ ยิ่งเป็นขิงที่ปลูกแบบอินทรีย์ ไม่ได้ฉีดยาหรือบำรุงด้วยสารเคมีแล้วจะยิ่งดีมากๆเลยค่ะ


ขอบคุณภาพจาก www.pixabay.com

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ประโยชน์ของนำ้หมักชีวภาพ กับทฤษฎีจุดปฐมเหตุ

จากทฤษฎีจุดปฐมเหตุของหมอจาง จ้าว ฮั่น ที่มีแนวคิดว่าปัจจัย(การบาดเจ็บและผลกระทบจากภายนอก) รวมกับเหตุ (การที่ร่างกายขาดพลังงานความร้อนหรือกายป่วย) จะเกิดเป็นผล(อาการหรือระดับต่างๆทางการแพทย์)

ถ้าเรามองถึงปัจจัยด้านผลกระทบจากภายนอก นั่นก็คือสภาพแวดล้อมรอบๆตัวเรา ทั้งอากาศ แสงแดด มลภาวะ สารเคมีตกค้างในข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ถ้าสิ่งเหล่านี้อยู่ในภาวะที่ดี ก็จะลดความเสี่ยงด้านปัจจัยลง และเกิดอาการหรือโรคต่างๆน้อยลง ทุกอย่างจึงสอดคล้องกันหมด

ดังนั้น เราจึงนำประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพที่ช่วยบำบัดสภาพแวดล้อม มาใช้ร่วมกับการศึกษาทฤษฎีจุดปฐมเหตุไปพร้อมๆกันค่ะ

ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพที่ช่วยบำบัดสภาพแวดล้อมรอบๆตัวเรา ได้แก่

1. ใช้ทำความสะอาดที่อยู่อาศัย 

โดยผสมนำ้หมักชีวภาพเจือจางในนำ้และฉีดพ่น จะสามารถขจัดกลิ่น เชื้อรา มลภาวะจากความสกปรกและคราบนำ้มันต่างๆได้

นอกจากนี้น้ำหมักชีวภาพยังใช้ทำความสะอาดพื้นห้อง ตู้เย็น ห้องนำ้ เครื่องดูดนำ้มันและควันในห้องครัว ฝาผนังที่เปื้อนนำ้มัน และยังมีผลทำให้แมลงวัน หนู และแมลงสาบลดลง




2. ลดสารเคมีตกค้างในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ

เพราะในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกหนีผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนทำมาจากสารสังเคราะห์ และสารเคมี ซึ่งหากสะสมอยู่ในร่างกายก็อาจเป็นโทษได้

โดยนำ้หมักชีวภาพสามารถช่วยสลายและกำจัดสารเคมีที่ให้โทษต่อร่างกายได้ เพียงเติมนำ้หมักชีวภาพ ที่เจือจางแล้วในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เช่นสบู่อาบนำ้ ยาสระผม น้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจาน เป็นต้น



3. ทำความสะอาดสัตว์เลี้ยง

โดยใช้น้ำหมักชีวภาพในการฉีดพ่นเพื่อกำจัดกลิ่นของสัตว์เลี้ยง ลดพยาธิในสัตว์ให้น้อยลง จะช่วยส่งเสริมสุขภาพให้สัตว์เลี้ยงแข็งแรงขึ้น





4. ช่วยกำจัดสิ่งตกค้างจากยาปราบศัตรูพืช และสารเคมีของผัก ผลไม้

ปัจจุบันผักผลไม้ส่วนมาก มียาปราบศัตรูพืชและส่วนประกอบของสารเคมีตกค้าง หากรับประทานพืชผักผลไม้ที่มียาปราบศัตรูพืชมากเกินไปเป็นเวลานานๆแล้ว อาจเป็นปัจจัยที่มารวมกับ ร่างกายขาดพลังงานความร้อน และเกิดเป็นอาการของโรคต่างๆได้ที่ร้ายแรงได้

วิธีการใช้คือแช่ผักผลไม้ในนำ้หมักชีวภาพที่เจือจาง เป็นเวลาประมาณ 15 – 30 นาที จะช่วยกำจัดยาปราบศัตรูพืช สารเคมี โลหะหนัก เชื้อโรคและพยาธิที่ตกค้างบนผักและผลไม้ได้




น้ำหมักชีวภาพนับเป็นน้ำวิเศษ ที่นอกจากจะมีประโยชน์มากมายมหาศาลแล้ว ยังมีวิธีทำที่แสนง่ายดาย เพื่อนๆสามารถศึกษาวิธีได้จาก การทำน้ำหมักชีวภาพแบบง่ายๆ

โดยสามารถเข้าไปศึกษาสัดส่วน และวิธีการใช้งานจาก อัตราส่วนการใช้งานน้ำหมักชีวภาพ 

เมื่อเพื่อนๆทราบถึงทฤษฎีจุดปฐมเหตุ และทราบประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพแล้ว เชื่อแน่ว่าหากใช้ทั้งสองอย่างนี้ควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน ทั้งตัวเรา สังคมเรา และโลกของเราคงน่าอยู่ และมีความสุขขึ้นไม่น้อยเลยค่ะ

ขอบคุณภาพจาก
https://pixabay.com, http://www.iorma.com, http://www.petsincumbria.co.uk, https://elitehotelier.net

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

หลักของพลังงานร้อน และฤทธิ์เย็นทำร้ายร่างกาย

มีคำถามจะถามเพื่อนๆว่า ตอนมีชีวิตอยู่ร่างกายเราอุ่นหรือเย็น แล้วตอนตายล่ะร่างกายจะอุ่นหรือเย็น?

เป็นคำถามที่ทุกคนน่าจะตอบได้ ดังนั้นถ้าเรารู้ว่าคนที่ตายไปแล้วมีร่างกายที่เย็น ก็แปลว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้ก็ต่อเมื่อเรามีพลังงานความร้อนภายในร่างกาย เป็นพลังงานที่ทำให้เรามีชีวิต

อาหารก็มีทั้งอาหารฤทธิ์ร้อน ฤทธิ์เย็น เมื่อเรากินอาหารเหล่านี้เข้าไปก็จะไปส่งผลต่อพลังงานในร่างกายเช่นกัน ดังนั้นถ้าร่างกายเราค่อนข้างเย็น เราก็ไม่ควรทานอาหารที่มีฤทธิ์เย็นอีก เพราะถ้ามีปัจจัยด้านอาหารเข้ามารวมกับเหตุ จะทำให้เกิดอาการที่รุนแรงได้

ส่วนอาหารฤทธิ์ร้อนหรือเย็นนั้น ตามหลักของจุดปฐมเหตุ สามารถแยกตามรสชาติได้  คือ
หวานเปรี้ยว  คือ ฤทธิ์เย็นจัด (เช่น แตงโม ส้ม น้ำเต้า เห็ดเข็มทอง)
หวานชุ่มคอ เค็ม  คือ ฤทธิ์เย็น (เช่น กาแฟ พุทรา ข้าวเจ้า )
เผ็ดซ่า  คือ ฤทธิ์อุ่น (เช่น ต้นหอม กระเทียม ขิงสด )
เผ็ด  คือ ร้อน (เช่น พริกไทย ขิงแห้ง ยี่หร่า พริก วาซาบิ)
ส่วนขม ยังไม่แน่นอน
* เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาปฏิชีวนะ เป็น ฤทธิ์เย็นจัด

มีตารางอาหารฤทธิ์ร้อน-เย็น มาให้เพื่อนๆลองดูกัน แต่จะเป็นเฉพาะอาหารมังสวิรัติค่ะ



ตามหลักของจุดปฐมเหตุ จะใช้ " ขิง " (ต้มเป็นน้ำขิงดื่มอุ่นๆ) เพื่อเพิ่มพลังความร้อนให้ร่างกาย จริงๆแล้วโสมก็ใช้ได้ค่ะ แต่โสมมีราคาแพงมาก เราจึงใช้ขิงที่มีราคาถูกเป็นอาหารที่ช่วยเพิ่มพลังความร้อนแก่ร่างกายเป็นหลักค่ะ ดูรายละเอียด การใช้ขิงเพิ่มภูมิร้อนให้ร่างกาย






สรุป จริงๆแล้วร่างกายเราเป็นเย็น แต่พลังงานความร้อนทำให้เรามีชีวิตอยู่ และมีแรงมีกำลัง ดังนั้นถ้าเรามีพลังงานความร้อนลดลงก็จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ เราจึงต้องพยายามเพิ่มพลังงานความร้อนให้ร่างกายด้วยการ กินอาหารที่มีฤทธิ์อุ่น-ร้อน, ออกกำลังกาย, ประคบอุ่น (เมื่อร่างกายอ่อนแอหรือขาดพลังงาน) และพยายามทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ

นอกเหนือจากการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงแล้ว เพื่อนๆอย่าลืมทำจิตใจให้แจ่มใส ร่าเริงด้วยนะคะ

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ทฤษฎีปัจจัย เหตุ และผลของจุดปฐมเหตุ



การแพทย์ปฐมเหตุเชื่อว่าอาการต่างๆของโรคทั้งหลาย มีสาเหตุมาปัจจัย(การบาดเจ็บและผลกระทบจากภายนอก) รวมกับเหตุ(การที่ร่างกายขาดพลังงานความร้อนหรือกายป่วย) จนเกิดเป็นผล(อาการหรือระดับต่างๆทางการแพทย์) ซึ่งเหตุเพียงเหตุเดียวเกิดได้หลายอาการ

ดังนั้นการแพทย์ปฐมเหตุจึงมุ่งไปรักษาที่เหตุของอาการ ซึ่งต่างจากการแพทย์แผนปัจจุบันที่คิดว่าอาการต่างๆหรือผลของโรคเป็นต้นเหตุ และไปรักษาอาการตามผลที่เกิดขึ้น ปล่อยให้สาเหตุที่แท้จริงยังคงอยู่


สรุป เมื่อเทียบกันดูจะพบว่า การแพทย์ปฐมเหตุ รักษาแค่ที่ต้นเหตุอย่างเดียวก็ช่วยรักษาอาการหลายอาการจากต้นเหตุนี้ได้หมด 

แต่แพทย์แผนปัจจุบันรักษาที่ผล ที่อาการทีละอย่าง ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุจริงๆ ดังนั้นต้นเหตุก็จะยังอยู่ จึงต้องรักษาที่ผลไปเรื่อยๆ


บทความตอนนี้อาจดูเป็นวิชาการและเข้าใจยากสักหน่อยนะคะ แต่เชื่อว่าหากเพื่อนๆค่อยๆอ่านและทำความเข้าใจ ก็จะเกิดผลดีต่อตัวเพื่อนๆเองไม่น้อยเลยค่ะ